สรุป 9 ธีมการลงทุนในปี 2022 โดย Messari Research

Date

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on telegram
Share on skype
Share on whatsapp
Share on email
Spread the love

1.การสูญเสียความเชื่อมั่นในสถาบันทางการเงินเดิม 

คุณที่อ่านบทความนี้อยู่อาจจะเป็นหนึ่งในชาวนักลงทุน millennial หรือ Gen X ที่ต้องพูดกับตัวเองว่า “เราต้องอาศัยปาฏิหาริย์ ที่จะเกษียณโดยมีเงินเก็บ” คุณกังวลกับหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงเสียดฟ้า และเงินเฟ้อที่อาจจะไม่คงอยู่แค่ชั่วคราวอย่างที่ประธาน Fed บอก และคุณสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการขึ้นดอกเบี้ย สำหรับคุณ คริปโตคือเรือชูชีพ 

คุณอาจจะมีมุมมองทางการเมือง ไม่ว่าจะขวาหรือซ้าย ที่มองว่า Wall street ไม่ได้รับผลกระทบจากการกระทบของตนในวิกฤตทางการเงินครั้งล่าสุด และได้รับผลประโยชน์จาก FED ที่ซึ่งนโยบายของ FED เองก็ทำร้ายลูกค้าของเค้า หรือกังวลว่า Big tech จะครอบครองตลาด ,ทำการเซนเซอร์ และควบคุมข้อมูลส่วนตัวของคุณ สำหรับคุณ คริปโตคือคำเตือนของคุณต่อบุคคลเหล่านี้ 

กราฟนี้อาจจะส่งเสริมกับคำพูดด้านบน จากการเก็บของมูลของ Andressen Horowitz 

(กราฟนี้มาจากรายงานของ Andressen Horowitz แสดงถึงจริยธรรมของรูปแบบขององค์กรและความสามารถในการผลักดันองค์กร โดยไล่จากล่างสุดคือจริยธรรมต่ำที่สุด จนถึงบนสุด มีจริยธรรม และซ้ายสุดคือไร้ความสามารถในการผลักดันองค์กร และขวาสุดคือ มีความสามารถในการผลักดันองค์กร) 

แม้คุณอาจจะเข้ามายังคริปโต เพื่อ meme coin, JPEG แบบพิเศษก็ตาม คุณจะพบว่า พลังที่เป็นเป็นหนึ่งเดียวกันของการเคลื่อนไหวนี้มาจากความเชื่อว่าเทคโนโลยี Decentralize พร้อมกันกับผลตอบแทนทางการเงิน มีความน่าสนใจกว่าระบบการเงินและสถาบันการเงินที่กำลังเสื่อมสลาย 

นั่นนำมาซึ่งการทำนายของเราในปี 2022 ภาพรวมเศรษฐกิจจะแย่ลงก่อนจะดีขึ้นในระยะยาว  เงินเฟ้อจะอยู่สูงกว่า 5% ตลอดปี (มั่นใจ 70%) ซึ่งจะดีกับตลาดคริปโตในระยะสั้น ระยะกลางอาจจะเจอความเสี่ยง ที่เกิดจากผู้ควบคุมกำกับ และการเซนเซอร์ของ Big tech และระบบธนาคารที่มากขึ้นจากการที่ประธานาธิบดี Biden ส่งสัญญาณแตกหักกับ Crypto 

2. Crypto/Web3 คือสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ 

Crypto หรือ Web3 ถือเป็น ระบบอินเตอร์เน็ตที่ผู้สร้างคอนเทนต์และผู้ใช้เป็นเจ้าของมัน และขับเคลื่อนโดย Token 

โดยอธิบายว่า Web 3 คือ ระบบที่สามารถ Read-Write-Own.  ซึ่งเราต่างเห็นด้วยจาก sense ของเราว่า ระบบเศรษฐกิจที่ User เป็นเจ้าของระบบ น่าจะทำได้ดีกว่าระบบที่ผูกขาดไว้ที่เจ้าของ ในระยะยาว 

สำหรับ report นี้ เราเห็นตรงกันว่า ตีมหลักของมันคือ เรากำลังข้ามผ่านยุคที่ internet ถูกสร้างบนที่ดินที่เราต้องไปเช่าเขาใช้ (FB,Youtube) ไปสู่ความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด คริปโตเสนอการปฏิวัติจากเหล่าผู้ผูกขาด ที่เราสามารถมองเห็นได้ว่ามันมีโอกาสทำสำเร็จ 

เรามีปัจจัยหลักที่สมบูรณ์พร้อมให้มันเป็นไปได้ 

  1. Talent พร้อม มีกลุ่มคนที่มีพลัง มีมันสมอง มากพอที่จะขับเคลื่อนวงการ 
  1. เงินทุนพร้อม สังเกตจากการที่ VC ต่างลงทุนใน Sector มหาศาล และระบบการเงินที่อยู่ภายใน Web 3 ที่พร้อมใช้งาน 
  1. ช่วงเวลาที่พร้อม  จากการที่ในช่วงตลาดหมีที่ผ่านมา เราได้เตรียมพร้อมโครงร้างพื้นฐานไว้ ทำให้เราสามารถสร้างการเคลื่อนไหวนี้ได้ 

เราอยู่ในช่วงของการลุกฮือทางสังคม ที่ซึ่งคนรุ่นใหม่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยีที่ Disrupt ที่ซึ่ง Defi การันตีผลตอบแทนปีละ 5% ในขณะที่ wallstreet ให้คุณได้ 0.5%  NFT ให้โอกาสคุณทำเงินโดยที่ไม่ถูกเก็บค่าเช่าจาก Hollywood ถึง 50%  แพลทฟอร์มเกม On chain ยกเลิกผลตอบแทนของผู้ผูกขาดเกม 100% และลบความเสี่ยงของการปิดเกมทิ้ง 

ผู้เขียนเชื่อมั่น 99% ในคริปโตว่า มันจะยิ่งใหญ่กว่านี้ ภายใน 2030 เพราะมีผู้ใช้มากขึ้น เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าการมาของสมาร์ทโฟน หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่ายุคอินเตอร์เนตเสียด้วยซ้ำ 

  1. Bridge, NFT , DAOs 

Web 3 คือการควบรวมทุกอย่างของ คริปโต, Smart contract (Layer 1-2 platform), Decrentพalize Hardware infrastructure (Video,Sensor,Storage) , NFT (Digital Id,Property), Defi (ระบบการเงินเพื่อการแลกเปลี่ยนและกู้ยืม Web3 Asset), Metaverse (โลกดิจิตัลที่สร้างในรูปแบบของเกม ), และการกำกับดูแลบริหารชุมชน (DAO)  

ผู้เขียนคาดว่า Web3 จะเติบโตในทุกๆแง่มุม แต่มี 3 อย่างที่ปัจจุบันยังทำได้ไม่ดีนัก (แปลว่าในอนาคตจะเติบโตได้ดี) คือ NFT infrastructure, DAO tooling, inter protocol bridge. 

โลกของ NFT นั้นเพิ่งเริ่ม และผู้เขียนคาดว่า NFT tooling ที่เป็นที่แพร่หลายนั้นจะยังเป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดซื้อขาย, เครื่องมือของ Creator , โมเดลธุรกิจที่เน้น Community Base และ Decentralize identity management/ Reputation management ทั้งหมดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทั้งนั้น และจะเป๋นการลงทุนที่ร้อนแรงในปี 2022 

เช่นเดียวกับ DAO ซึ่งเป็นที่ต้องการท่ามกลางกลุ่มผู้ใช้งานคริปโตปัจจุบัน DAO tools จะเป็นสิ่งที่เติบโตมากขึ้นอย่างแน่นอน 

สุดท้าย ปัญหาสำคัญของโลกคริปโต คือปัญหาการ Scaling และ Interoperability Ethereum Blockchain ได้ทำงานจนถึงสุดขีดความสามารถของมันแล้วในปีนี้ แพลทฟอร์ม Layer 1 อื่นๆ เติบโตอย่างกาวกระโดด 50-100x จากการที่นักลงทุนต่างพนันกับการเติบโตของโลกคริปโตและหวังว่าแพลทฟอร์มทางเลือกจะได้รับอาณิสงค์ของความต้องการใช้ที่ Ethereum จะรองรับไหว  ทุกๆแพลทฟอร์ททางเลือกเหล่านี้และ Ethereum layer 2 จะต้องสามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งปัจจุบัน เรายังขาดสะพานที่เชื่อมโยงบล็อกเชนเหล่านี้เข้าด้วยกัน  ถ้ามีใครสามารุสร้างสะพานเชื่อมบล๊อกเชนเหล่านี้เข้าด้วยกันได้จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลบนโลกเสมือน 

  1. การพัฒนาคุณค่าของตนเองแยกออกจาก Bitcoin  

ก่อนหน้านี้เราอาจจะพูดถึงคริปโตเคอเรนซี่ในภาพรวม แต่ตอนนี้ เราพูดถึง Currencies, Defi Protocol, NFT, Distributed computing Platform, Work to earn Market 

เรากำลังค้นพบการใช้งานที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และระบบเสรษยกิจภายในที่แตกต่างกันในแต่ละเครือข่าย ตลาดนี้อาจจะยังเป็น meme driven market แต่อย่างไรก็ตาม meme หลายอันก็เหมือนจะแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานของมัน โดย Ari Paul influencer crypto กล่าวเอาไว้ว่า  

ในรอบนี้ของตลาดแสดงให้เห็นถึงการใช้งานเทคโนโลยีบล๊อกเชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และถูกทดสอบการทำงาน และก็มีสิ่งที่ผู้คนได้ค้นพบการประโยชน์ของมัน ในรอบที่แล้วมันไม่มีคนที่คิดว่ามันมี sector ระหว่างคริปโต Defi และ NFT ไม่เคยมีในตลาดรอบที่แล้ว ปัจจุบันมันมีทั้ง Decentralize file storage , smart contract platform , Privacy  

  1. Venture capital ที่ลงทุนใน Crypto ไม่เอาเงินออก (แต่ใส่เงินเข้ามา กับสลับสับเปลี่ยนตัว) 

ปริมาณเงินทุนมหาศาลถูกใส่เข้ามาในตลาดปีนี้ โดยกองทุนที่ลงในคริปโตโดยเฉพาะมีการลงทุนสูงที่สุดในปีนี้ และมี Asset under management เยอะที่สุดเช่นเดียวกัน Chart, line chart

Description automatically generated 

โดย Firm อย่าง Polychain, Andressen Horowitz, Multicoin, 3 arrow capital ต่างบริหารเงินจำนวนกว่า พันล้านดอลลาร์ (บางรายถึง หมื่นล้านดอลลาร์) และแม้แต่ Hedge fund ก็วางแผนลงทุนใน Digital asset ประมาณ 7% ของเงินที่มีภายใน 5 ปี แม้แต่กองทุนประกันสังคมก็เริ่มที่จะเข้ามาซื้อ Digital asset โดยตรง 

เงินทุนใหญ่เริ่มจะขยับเงินของเขาไปสู่สินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้นภายใต้ภาวะดอกเบี้ยติดลบ และทุกคนไม่สามารถเพิกเฉยต่อคริปโตอีกต่อไป 

ขนาดของตลาดคริปโตปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งถูกสร้างในระยะเวลาเพียง 10 ปี มีมูลค่าเทียบเท่ากับบริษัทสตาร์ทอัพที่มี VC ลงทุน ทั้งหมดรวมกัน ซึ่งสถาบันการเงินต่างรับทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่เงินลุงทันของสถาบันเหล่านี้จะทำให้เหตุการ์ที่ตลาดตกลงแบบปี 2014-2015 หรือ 2018-2019 ไม่เกิดขึ้น   

ปัจจุบันเงินทุนของสถาบันเหล่านี้เข้ามาในตลาดใน และไม่เคยออกไป มีแต่การกระจายไปลงในตัวที่มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น และเงินเหล่านี้ไม่เคยออกไปจากตลาด แต่จะหมุนกลับมายังคริปโตที่เป็น Blue Chip แทน (BTC,ETH) 

6. เราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน 

การพังของตลาด ซึ่งเรารู้ว่ามันต้องเกิดขึ้น อาจจะไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อนๆ แต่ แล้ว upside ที่ยังเหลือคือเท่าไร มันรู้สึกเหมือนแตะจุดสูงสุดแล้วใช่ไหม สังเกตจากการที่ Shiba Inu มี Market cap ถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ และ Billboard ของ NFT ปรากฏขึ้นที่ Time Square แล้ว   

เรามีสัญญาณบ่งบอกว่าจุดไหนคือจุดสูงสุดของรอบมาบอกคุณ 

6.1. Bitcoin : ราชาก็คือราชา Bitcoin คือสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่มีปันผล มันคือ ราคา กับ มูลค่า ที่ใช้ประเมิณสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีที่คล้ายกันกับทองคำได้ แต่มันมีพื้นฐานตัวนึงที่เราคิดว่าน่าสนใจที่จะติดตามของ Bitcoin คือ Market Value to realized value (MVRV) ซึ่งถูกคิดค้นโดย Coin Metric มันคืออัตราระหว่าง Bitcoin Market cap ที่ Free float อยู่ ต่อ realized value ซึ่งก็คือ ผลรวมของราคาตลาดล่าสุดที่มีการเคลื่อนไหว on-chain ต่อหน่วยเวลา ข้างหนึงคือ snapshot ของ Bitcoin Stock time price อีกข้างคือข้อมูลที่มี Dynamic   

ถ้าคุณไม่ใช้ Hodler คุณไม่สามารถทนกับตลาดหมีที่ยาวนาน4 ปีได้  ถ้าอย่างนั้นเมื่อ MVRV แตะ 3 คุณควร Take profit ตอนนั้น (และขายไตของคุณมาซื้อ Bitcoin เมื่อ MVRV แตะ 1 )  ในรอบที่ผ่านๆมา MVRV ที่เกิน 3 จะมีระยะเวลาที่น้อยลงเรื่อยๆ ในรอบปี 2011 MVRV เกิน 3 อยู่ถึง 4 เดือน  รอบปี 2013  3 เดือน  รอบปี 2017  10 สัปดาห์ และ 3 วัน ในช่วงปีที่ผ่านมา ถ้าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ถ้า MVRV แตะ 3 อีกรอบในครั้งนี้ นั่นน่าจะทำให้ราคา Bitcoin ไปอยู่ที่ 100,000 – 125,000 ดอลลาร์  
ถ้ามันจะไปไกลกว่านั้น เป้าหมายถัดไปของ Bitcoin คือ เทียบเท่า  Market cap ของทองคำ ซึ่งจะทำให้ Bitcoin มีราคาประมาณ 500,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้มันยังเป็นการลงทุนที่มีโอกาส 10x ได้จากราคาปัจจุบัน 

6.2. Ethereum  มีการพูดถึงการ Flippening หรือ มูลค่า ETH มากกว่า Bitcoin ในรอบ Bull run รอบนี้ของ Ethereum  ซึ่งคำถามว่า ETH จะล้ม BTC ในรอบนี้ได้หรือไม่ เราคิดว่ายาก ถ้าไม่สามารถ Scale Ethereum ได้ 
ซึ่งยังมี Layer 1 ตัวอื่นที่เป็นคู่แข่ง และในอนาคตทุกคนต่างคิดถึงการทำงานแบบ Multi chain  ผู้เขียนมองว่ามีโอกาสท่จะเป็น Layer 1 ทุกตัวรวมกันที่อาจจะมีมูลค่าตลาด ล้ม Bitcoin ได้ ในรอบนี้ 
 

6.3. Solana และตัวอื่นๆ :  Blockchain รุ่นใหม่ที่มาพร้อม Market cap ประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง ยังประกอบด้วยอีกหลายตัวในขนาดใกล้เคียงกัน Polkadot 40,000 ล้านดอลลาร์ Avalanche 30,000 ล้านดอลลาร์  
ถ้าเป้าหมายของของการลงทุนใน Blockchain เหล่านี้คือ มันมี upside ที่มากกว่า Ethereum ซึงจะไปแย่ง Market share Ethereum มา ซึ่งก็ยังมีอีกหลายตัวเช่น Terra , Polygon , Cosmos ซึ่งทั้งหมดมีปัจจัยของความสำเร็จ 2 อย่าง 1. Business development (มี dApps ที่หลากหลาย) 2. ดึงดูดให้ผู้ใช้ย้ายมาใช้งาน Blockchain ของตนเอง    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Asset เหล่านี้ต่างต้องพึ่งพา Ethereum และมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน 

6.4. DEFI  ปัจจุบัน Defi ยังมีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า 1% ของมูลค่าทางการตลาดของธนาคารทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึง Upside ของมัน ซึ่งใน platform ระดับแนวหน้ามักจะได้รับมูลค่าที่สูงแล้ว ณ เวลานี้ แต่หากคุณเป็นผู้เชื่อมั่นในตลาดทุนของคริปโต ว่ามันจะมาทดแทนตัวกลางและสถาบันทางการเงินทั้งหลาย  Defi ยังให้ Risk/Reward ที่ดีกว่าสิ่งอื่นๆในตลาดปัจจุบัน ซึ่งการแข่งขันของ Protocol ปัจจุบันก็ดุเดือด , หน่วยงานกำกับก็กำลังจับจ้อง ความเสี่ยงทางเทคนิคของ Smart contract ก็มีมากมาย  โดยรวม Defi ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่

6.5. NFT  แม้มันจะมี liquidity ที่ต่ำ แต่ ในระยะยาว Market cap ของมันมีโอกาสโตได้อย่างน่ากลัวมาก DappRadar ประมาณการณ์ขนาดตลาด NFT ไว้ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกันยายน ซึ่งก็ยังขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ลองนึกถึงขนาดของ LVMH (Louis Vitton) ที่ 375,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันเป็นไปได้ 

7. เอาตัวรอดจากตลาดหมี 

ผู้เขียนชื่นชอบการลงทุนในคริปโต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากแต่ในระยะกลาง คุณอาจจะสงสัยถึงคำถามว่า มันไปสูงที่สุดได้แค่ไหนก่อนตลาดจะแตก ซึ่งหากคุณไม่เคยผ่านตลาดหมีมาก่อน คุณไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร 

ผู้คนหลายคนรอบๆตัวคุณ จะสูญเสียความเชื่อมั่น และรู้สึกเจ็บปวดกับการลงทุนนี้ และพูดกับตัวเองว่า “รัฐบาลน่าจะสามารถควบคุมมันได้นะ” “มันอาจจะเป็นสิ่งที่มาก่อนกาลเกินไป” และ ฉันบอกคุณแล้วว่ามันคือฟองสบู่ 

คุณจะถูกถาโถมด้วยประโยคเหล่านี้ หลายๆคนจะรู้สึกแตกหักกับมัน หมดตัวจากการ leverage มากเกินไป เป็นซึมเศร้า และไม่เชื่อในคริปโตอีกต่อไป และผู้เขียนขอขยี้อีกว่า ในตลาดหมีครั้งถัดไปจะเป็นฝันร้ายที่เกิดจากการควบคุมกำกับคริปโต ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยจะไม่สามารถสู้ต่อไปไหว เนื่องจากสูญเสียเงินเก็บไปหมดและต้องไปหางานจริงๆทำอีกครั้ง 

เราแนะนำให้กลับไปอ่านหัวข้อ 1 – 6 ใหม่ เพื่อให้คุณตัดสินใจใหม่ว่า ยังเชื่อในสิ่งนี้อยู่หรือไม่ ถ้าคุณเชื่อ รัดเข็มขัดให้ดี ยอมรับฤดูหนาวที่จะมาถึง ลดการใช้ Leverage ให้เร็ว cash out ออกบ้าง และพยายามอย่าค้นหาว่าตรงไหนคือจุดสูงสุด (อย่าเล่นฝั่ง Short ถ้าคุณไม่ใช่ Professional ) 

และ สุดท้าย สำหรับใครที่คิดว่า “ดีจังเลย ฉันจะได้ซื้อของในราคาถูกในตลาดหมีครั้งถัดไป” คริปโตสามารถลงได้มากกว่าที่คุณคิด ได้นานกว่าที่คุณคิด และมันมักจะเป็นเช่นนั้น 

โปรเจ็คที่ทำมาเพื่อรวยเร็วจะระเหยไปในช่วงนี้ แต่ในรอบถัดไป Unicorn ตัวใหม่จะถูกสร้างท่ามกลางเวลาของฤดูหนาว 

8. ทางเลือกของนักลงทุนสถาบัน : Coinbase Opens the Floodgates 

ถึงแม้ Coinbase จะ IPO ได้ 70,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นการ IPO ที่น่าประทับใจ มันก็ยังเทียบไม่ได้กับการเติบโตของตัว Bitcoin เอง ซึ่งถ้านับจุดเริ่มต้นของ Coinbase ที่ปี 2013  Bitcoin เติบโตเยอะกว่ามาก และเป็นแบบเดียวกับกับ Crypto infrastructure อื่นๆ 

ในขณะเดียวกัน BNB ของ Binance มีมูลค่าที่มากขึ้นถึงจุดสูงสุดโดยใช้เวลา 4 ปี โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่ Binance ให้ Incentive ผู้สมัคร และให้ผลประโยชน์ผู้ถือ BNB ถึง 20% ของความสามารถในการทำกำไรของ Binance  

Crypto IPO และ ETF ดูจะสำคัญกับนักลงทุนสถาบันมากกว่ารายย่อย และสำคัญกับ Story มากกว่าพื้นฐานและผลตอบแทนของมัน     ขนาดของ Coinbase อาจจะโตเป็นหลัก แสนล้านดอลลาร์, BITO Bitcoin ETF อาจจะเป็น ETF ที่โตเร็วที่สุด แต่มันไม่สำคัญกับนักลงทุนรายย่อย ที่สามารถเข้าถึงคริปโตได้โดยตรง 

ดังนั้น สิ่งที่มันทำให้กับตลาดได้ คือ Free marketing และ ข้อมูลของการเทรดจากการที่ต้องขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เราสามารถไปดูดข้อมูลจาก Coinbase แบบฟรีได้จากข้อมูลที่รายงายตลาดหลักทรัพย์  และเราได้การ PR ระดับยักษ์ใหญ่ จากการ list BITO Bitcoin ETF 

9. Copy-Trading : WAGMI  

บางครั้ง คุณไม่ควรคิดมากเกินไป 

 Crypto trading มักมีธรรมชาติเป็นกระแส Social และ มีความเป็น meme  ดูได้จากการที่นักลงทุนรายย่อย ใช้  

“กาว”ในการลงทุนเพียงแค่เห็นโปรเจคที่มี Firm ที่ประสบความสำเร็จร่วมลงทุน  เงินทุนในตลาดนี้ไหลไปและไหลมาโดยง่าย มีหลายๆคนทำเงินได้มากกมายจากการไล่ตาม momentum ของการไหลจาก sector นึงไปยังอีก sector นึง  สินทรัพย์หนึ่งไปยังสินทรัพย์หนึ่ง และ meme หนึ่ง ไปยัง meme หนึ่ง 

หน้าที่ของ VC ใน Crypto กำลังเปลี่ยนไป และมันให้ประโยชน์ผู้พัฒนา และผู้ติดตามที่มีความรวดเร็วดังปีศาจ เนื่องจากตลาดมีความไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก  มันเมคเซนส์ที่จะเข้าเพิ่มในตัวที่ชนะ และรีบออกในตัวที่แพ้ อย่างเช่นตอนที่ Solana พึ่งขึ้นไป มีเงินจำนวนมากที่ลงทุนเพิ่มลงไปอีกใน ecosystem และมันทำให้สินทรัพย์นี้ชนะ Ethereum ไปในปีนี้ เมื่อการใช้งานเพิ่มขึ้น มันก็ดึงดูดฟองสบู่ให้โตขึ้น และวนเป็นวงจรไปเรื่อยๆ 

นี่คือจังหวะ คือรอบ ในโลกคริปโต ถ้า Bitcoin ขึ้น เช่นนั้น Alt season ก็จะตามมาในอีกไม่นาน เนื่องจากผู้คนเชื่อว่ามันจะเป็นดังนั้น (และมันเมคเซนที่จะกระจายการลงทุน) การหมุนเงินจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้น และ มันสามารถเดาได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและคงเป็นแบบนี้ต่อไป  บางคนถึงกับบอกว่า สตอรี่ในการเทรดคริปโตมีแค่ BTC ขึ้น ETH ขึ้นมากกว่า Small caps ขึ้นเยอะที่สุด 

คุณสามารถไปหาฟังวิธีการที่ FTX อธิบายการเทรด “ทุกอย่างที่เป็นฟองสบู่” หรือ อ่านข้อมูลที่เทรดเดอเก่งๆอัพเดทในทวิตเตอร์ หรือคุณอาจจะซื้อตามตัวที่กองทุน Top 20 และเปรียบเทียบเหรียญที่เหมือนและแตกต่าง เพื่อจัดพอร์ทของคุณ  

Admin Aof

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on telegram
Share on skype
Share on whatsapp
Share on email

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

More
articles