รู้จักแบรนด์ Hardware Wallet จากทั่วโลก /EP.1 แบรนด์พื้นฐานที่เป็นที่นิยม

รู้จักแบรนด์ Hardware Wallet จากทั่วโลก /EP.1 แบรนด์พื้นฐานที่เป็นที่นิยม

ทำไมต้องใช้ Hardware Wallet?

ในยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่นักลงทุนและผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลต้องให้ความสำคัญคือ "เราจะเก็บสินทรัพย์ของเราให้ปลอดภัยได้อย่างไร?" แม้ว่ากระเป๋าเงินซอฟต์แวร์ (Software Wallet) และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน (Exchange) จะให้ความสะดวกสบาย แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกแฮ็ก ช่องโหว่ของระบบ หรือแม้แต่การถูกควบคุมจากบุคคลที่สาม

Hardware Wallet จึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง ด้วยการเก็บ Private Key ไว้ในอุปกรณ์ที่แยกออกจากอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง ลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และช่วยให้คุณควบคุมสินทรัพย์ได้อย่างสมบูรณ์

บทความซีรีส์ Master List: รู้จักแบรนด์ Hardware Wallet จากทั่วโลก นี้จะพาคุณไปรู้จักกับแบรนด์ Hardware Wallet 30 แบรนด์จากทั่วโลก พร้อมจุดเด่นและความเหมาะสมของแต่ละแบรนด์เพื่อช่วยให้คุณมีตัวเลือกที่มากขึ้นและสามารถตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุดได้อย่างมั่นใจครับ

EP.1 แบรนด์พื้นฐานที่เป็นที่นิยม

EP.1 นี้เราคัดเลือกจากเกณฑ์อะไร?

เพื่อให้เข้าใจโลกของ Hardware Wallet ได้อย่างเป็นระบบ ซีรีส์ Master List นี้จะแบ่งแบรนด์ออกเป็น 3 กลุ่ม โดยใน EP.1 เราเริ่มต้นจากกลุ่มหลัก ที่ถือเป็นที่นิยมของวงการ ซึ่งคัดเลือกจากเกณฑ์ต่อไปนี้:

  1. เป็นที่นิยมระดับโลก – มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และได้รับการพูดถึงในวงกว้าง
  2. ปลอดภัยเชื่อถือได้ – ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียงด้านการรักษาความปลอดภัยในระดับดี
  3. รองรับเหรียญหลากหลาย – ใช้งานได้กับเหรียญและโทเคนสำคัญในตลาด
  4. ใช้งานง่าย – อินเทอร์เฟซไม่ซับซ้อน เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และผู้มีประสบการณ์

เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม "แบรนด์พื้นฐานที่เป็นที่นิยม" ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

ภาพรวม 10 รายชื่อแบรนด์ Hardware Wallet

กลุ่มนี้คือแบรนด์ที่อยู่ในกระแสหลัก (Mainstream) มีฐานผู้ใช้ทั่วโลก รองรับเหรียญจำนวนมาก มีระบบที่เข้าใจง่าย เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และนักลงทุนทั่วไป

  1. Trezor (trezor.io) – ผู้บุกเบิกวงการ Hardware Wallet รุ่นแรกของโลก ปลอดภัย ใช้งานง่าย
  2. Ledger (ledger.com) – ผู้นำระดับโลกจากฝรั่งเศส รองรับเหรียญเยอะ แอปใช้งานสะดวก
  3. SafePal (safepal.io) – กระเป๋าพกพาราคาประหยัด สนับสนุนโดย Binance
  4. KeepKey (keepkey.com) – ดีไซน์เรียบ ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
  5. OneKey (onekey.so) – แบรนด์มาแรงจากเอเชีย เน้นความเป็น Open Source
  6. Ellipal (ellipal.com) – Air-gapped แบบ 100% ใช้แค่ QR Code ไม่ต้องเสียบสายหรือ Bluetooth
  7. BitBox (bitbox.swiss) – ดีไซน์เล็ก กระทัดรัด ผลิตด้วยความพิถีพิถันแบบ Swiss Made
  8. Keystone (keyst.one) – มีระบบ Fingerprint, หน้าจอสัมผัส ใช้ QR Code เชื่อมต่อแบบ Air-gapped
  9. BC Vault (bc-vault.com) – เก็บได้หลายบัญชีในเครื่องเดียว ไม่ใช้ seed phrase แต่ใช้ encrypted backup
  10. SecuX (secuxtech.com) –  แบรนด์จากไต้หวัน หน้าจอสัมผัสใหญ่ ใช้งานง่าย


รายละเอียดข้อมูลของแต่ละแบรนด์

1. Trezor

  • ประเทศต้นกำเนิด: สาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2014
  • รุ่นยอดนิยม: Trezor One, Trezor Model T, Trezor Safe 3, Trezor Safe 5
  • จุดเด่น:
    • แบรนด์แรกของโลกที่เปิดตัว Hardware Wallet
    • ใช้ซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส (Open Source)
    • รองรับเหรียญหลัก ๆ อย่าง BTC, ETH, LTC และ ERC-20
    • มีฟีเจอร์ Passphrase และ Shamir Backup เพื่อความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • การติดตั้งและใช้งานผ่าน Trezor Suite ทำได้ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่และผู้มีประสบการณ์
    • อัปเดตซอฟต์แวร์สม่ำเสมอและมีชุมชนผู้ใช้จำนวนมาก
  • ข้อควรระวัง:
    • รุ่น Trezor Model One ไม่รองรับบางเหรียญใหม่ ๆ
    • รุ่น Trezor Model One ไม่มี Secure Element ซึ่งบางคนอาจมองว่าเสี่ยงกว่ารุ่นอื่น ๆ แต่บางคนก็มองว่า การไม่มี Secure Element ทำให้โค้ดทั้งหมด (แม้กระทั่งบน microcontroller) สามารถตรวจสอบได้

2. Ledger

  • ประเทศต้นกำเนิด: ฝรั่งเศส (France)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ก่อตั้งปี 2014 (แต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในปี 2016)
  • รุ่นยอดนิยม: Ledger Nano S Plus, Ledger Nano X, Ledger Stax
  • จุดเด่น:
    • ใช้ชิป Secure Element ระดับเดียวกับธนาคาร
    • แอป Ledger Live ใช้งานง่ายและรองรับเหรียญกว่า 5,000 รายการ
    • สามารถใช้งานร่วมกับมือถือผ่าน Bluetooth (Nano X)
    • มีระบบ Recover ด้วยบริการ Ledger Recover (เป็นทางเลือก)
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • UI/UX ราบรื่น ใน Ledger Live เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ใช้ที่มีประสบการณ์
    • ดูและส่ง NFT ได้โดยตรงผ่านบัญชี Ethereum ใน Ledger Live
  • ข้อควรระวัง:
    • บริการ Ledger Recover สร้างข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวในกลุ่มผู้ใช้งานสาย Privacy
    • ไม่โอเพ่นซอร์ส (Open Source) แบบ 100%

3. SafePal

  • ประเทศต้นกำเนิด: สิงคโปร์ (Singapore)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018 (สนับสนุนโดย Binance Labs)
  • รุ่นยอดนิยม: SafePal S1, SafePal S1 Pro, SafePal X1
  • จุดเด่น:
    • ราคาประหยัด แต่ใช้ Air-gapped แบบ QR Code ไม่ใช้สายหรือ Bluetooth
    • รองรับเหรียญมากกว่า 30 blockchain และโทเคนกว่า 10,000 รายการ
    • มีแอป SafePal ที่ใช้งานได้ทั้ง Android/iOS สำหรับจัดการสินทรัพย์
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • ดีไซน์เล็ก เบา เหมาะกับการพกพา ใช้งานคู่กับแอปง่ายและรวดเร็ว
    • อินเทอร์เฟซแอปดูทันสมัย เข้าใจง่าย
  • ข้อควรระวัง:
    • ไม่สามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมอย่าง Electrum ได้ลึก
    • ต้องระวังการจัดเก็บอุปกรณ์และรหัสผ่าน เพราะไม่มี Secure Element

4. KeepKey

  • ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา (United States of America)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2015 (ปัจจุบันเป็นของ ShapeShift)
  • รุ่นยอดนิยม: KeepKey
  • จุดเด่น:
    • ดีไซน์เรียบหรู หน้าจอใหญ่
    • ซอฟต์แวร์ KeepKey Client & ShapeShift Dapp Store
    • รองรับ 40+ บล็อคเชน และ 1,000+ โทเค็น สินทรัพย์หลักอย่าง BTC, ETH, LTC, XRP ฯลฯ
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • UI/UX คลีนและใช้งานง่ายทั้งมือใหม่และผู้มีประสบการณ์
    • ความเสถียร Firmware เป็นโอเพ่นซอร์ส (Deterministic build) ให้ชุมชนตรวจทานได้ 
  • ข้อควรระวัง:
    • ไม่มี Bluetooth/Wi-Fi/NFC: เชื่อมต่อผ่าน USB เท่านั้น (ลดความเสี่ยงไร้สาย แต่ไม่ยืดหยุ่น)
    • Client Browser Extension ความเสี่ยงด้านแพลตฟอร์ม: ควรดาวน์โหลดจากแหล่งทางการเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปลั๊กอินปลอม

5. OneKey

  • ประเทศต้นกำเนิด: ฮ่องกง (Hong Kong)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2019
  • รุ่นยอดนิยม: OneKey Mini, OneKey Classic 1S, OneKey Pro
  • จุดเด่น:
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • OneKey App UI/UX ราบรื่น สะดวกสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้เชี่ยวชาญ
    • เชื่อมต่อกับ Electrum, Sparrow, MetaMask ได้ง่าย (ล่าสุด MetaMask รองรับ Air-gapped OneKey โดยตรง)
    • ตัวเครื่องบางรุ่นเล็ก พกง่าย มีระบบป้องกันความร้อนสูง
  • ข้อควรระวัง:
    • แอป OneKey App ยังปิดซอร์สบางส่วน (แม้เฟิร์มแวร์จะโอเพ่นซอร์ส) ผู้ที่เน้น audit โค้ดต้องพิจารณา
    • รุ่น Pro & Mini มีแบตเตอรี่/บลูทูธ แต่ถ้าเน้น network-isolation ที่สุด ควรใช้ Classic 1S แบบ air-gapped

6. Ellipal

  • ประเทศต้นกำเนิด: ฮ่องกง (Hong Kong)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018
  • รุ่นยอดนิยม: Ellipal Titan, Ellipal Titan Mini
  • จุดเด่น:
    • Air-gapped 100% เชื่อมต่อด้วย QR Code เท่านั้น ไม่มี USB หรือ Bluetooth
    • ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ แข็งแรง ทนต่อการโจมตีทางกายภาพ
    • แอป Ellipal ใช้งานง่ายบน iOS/Android จัดการคริปโตกว่า 40 บล็อคเชน และโทเค็น 10,000+ รายการ
    • อัปเดตเฟิร์มแวร์แบบออฟไลน์ ผ่าน microSD เพื่อรักษาความปลอดภัย air-gapped อย่างเต็มรูปแบบ
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • อินเทอร์เฟซดูทันสมัยและเข้าใจง่ายทั้งบน iOS และ Android
    • ผู้ใช้ชื่นชอบความรู้สึก “ปลอดภัยสูงสุด” เพราะเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายใด ๆ เลย 
  • ข้อควรระวัง:
    • การสแกน QR อาจช้ากว่า USB หรือ Bluetooth
    • ต้องพึ่งพาแอปของ Ellipal เอง ไม่เปิดกว้างกับซอฟต์แวร์ภายนอก

7. BitBox

  • ประเทศต้นกำเนิด: สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ก่อตั้งปี 2015 (ในฐานะสปินออฟจาก ETH Zurich) และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปี 2016
  • รุ่นยอดนิยม: BitBox02 Bitcoin-only / Multi edition
  • จุดเด่น:
    • ขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก
    • ใช้งานร่วมกับ microSD เพื่อสำรองข้อมูลได้อย่างปลอดภัย
    • Air-gapped options โดย BitBox02 สามารถใช้งานแบบ air-gapped ร่วมกับ microSD ได้
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • การใช้งานกับ BitBoxApp ง่ายและมี UI สวยงาม
    • มีระบบสัมผัสด้านข้างที่ตอบสนองดี ใช้งานลื่น
  • ข้อควรระวัง:
    • ต้องเก็บ microSD ให้ดี หากใช้เป็นตัวสำรองข้อมูลหลัก
    • รุ่น Multi edition มีความเสี่ยงจากการรองรับเหรียญหลายแบบ (surface attack area)

8. Keystone (เดิมชื่อ Cobo Vault)

  • ประเทศต้นกำเนิด: ฮ่องกง (Hong Kong)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2021 (รีแบรนด์เป็น Keystone อย่างเป็นทางการ)
  • รุ่นยอดนิยม: Keystone 3 Pro
  • จุดเด่น:
    • หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย
    • มีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint)
    • Air-gapped ผ่าน QR Code ไม่ใช้สายหรือ Bluetooth
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • รองรับการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ Bitcoin เช่น Sparrow, Specter, BlueWallet, MetaMask (ผ่าน PSBT/QRCodes)
    • อินเทอร์เฟซดูหรูหรา ใช้งานได้ง่าย แม้ฟีเจอร์ขั้นสูงก็มีคำอธิบายในตัวเครื่องและเอกสารครบถ้วน
  • ข้อควรระวัง:
    • ราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นในกลุ่มเดียวกัน
    • ต้องมีความเข้าใจเทคนิคพอสมควร โดยการใช้งาน PSBT, การจัดการ QR workflows และ SLIP-39 shares อาจซับซ้อนสำหรับมือใหม่

9. BC Vault

  • ประเทศต้นกำเนิด: สโลวีเนีย (Slovenia)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018
  • รุ่นยอดนิยม: BC Vault One
  • จุดเด่น:
    • ไม่ใช้ Seed phrase แบบทั่วไป ใช้ encrypted backup และ password หลายชั้น
    • เก็บหลายบัญชีได้ในอุปกรณ์เดียว (multi-wallets)
    • มีจอแสดงผล OLED เพื่อยืนยันธุรกรรม
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • ต้องติดตั้งและใช้งานผ่าน BC Vault Application (มีให้บน MacOS, Windows, Linux) ซึ่งออกแบบให้ปลอดภัยและรองรับ GUI หลายภาษา
    • เหมาะกับผู้ใช้ระดับกลางถึงสูง ที่ต้องการจัดการ vault จำนวนมากในที่เดียวกันโดยไม่สับสน
  • ข้อควรระวัง:
    • ต้องมีความเข้าใจการจัดการ password และ backup หลายชั้น
    • ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นแบบ 100%

10. SecuX

  • ประเทศต้นกำเนิด: ไต้หวัน (Taiwan)
  • เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018
  • รุ่นยอดนิยม: SecuX V20, W20, Neo-X
  • จุดเด่น:
    • หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ สีสด ใช้งานง่าย
    • เชื่อมต่อทั้ง USB Type-C และ Bluetooth 5.0 (V20/W20 ใช้ Bluetooth ได้, W10 ใช้ USB เท่านั้น)
    • ใช้ชิป Secure Element CC EAL5+ ระดับเดียวกับธนาคาร
    • รองรับเหรียญกว่า 10,000 รายการ รวมถึง NFT (ERC-721/1155) และโทเค็นมาตรฐาน ERC-20 บนกว่า 300 บล็อคเชน
  • ประสบการณ์การใช้งาน:
    • สะดวกในการเชื่อมต่อผ่าน USB หรือ QR-based Bluetooth กับมือถือและคอมพิวเตอร์ ราบรื่นทั้งผู้เริ่มต้นและผู้เชี่ยวชาญ
    • ดีไซน์ตัวเครื่องจับถนัดมือ วัสดุแข็งแรง ทนต่อการใช้งานประจำวัน
  • ข้อควรระวัง:
    • Bluetooth อาจมีความเสี่ยงทางความปลอดภัย หากไม่ปิดเมื่อไม่ใช้งาน
    • ต้องพึ่งพาแอป SecuX เท่านั้น ยังไม่รองรับโอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์อย่างกว้างขวาง


🔒 บทสรุป

โลกของ Hardware Wallet อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่แก่นแท้ของมันเรียบง่ายมาก — เรากำลังหาวิธีปกป้องสิ่งที่เป็นของเรา...ให้เป็นของเราอย่างแท้จริง

จากแบรนด์ระดับโลกที่คุณได้รู้จักใน EP.1 นี้ คุณจะเห็นได้ว่าแต่ละแบรนด์มี “แนวคิด” และ “แนวทาง” ของตัวเอง บางแบรนด์เน้นความปลอดภัยขั้นสูง บางแบรนด์เน้นใช้งานง่าย บางแบรนด์เปิดซอร์สเพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส และบางแบรนด์ก็มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ แต่อย่าลืมว่า “ไม่มี Hardware Wallet ไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน” มีแต่ Hardware Wallet ที่เหมาะกับ “คุณ” ที่สุด

✅ ถ้ายังเลือกไม่ได้ ลองเริ่มจากคำถาม 3 ข้อนี้ 

  • คุณให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัยระดับไหน”?
    • ถ้าคุณต้องการแยกตัวจากโลกออนไลน์โดยสิ้นเชิง อาจมองหา Air-gapped Wallet อย่าง Ellipal หรือ Keystone
    • ถ้าคุณโอเคกับการใช้แอปเชื่อมต่อ อุปกรณ์อย่าง Ledger, Trezor ก็สะดวกและปลอดภัยในระดับที่ดีเพียงพอ
  • คุณต้องการใช้งาน “เหรียญอะไรบ้าง”?
    • ถ้าเน้น Bitcoin อย่างเดียว ลองพิจารณา BitBox02 Bitcoin-only
    • ถ้าคุณมีพอร์ตหลากหลาย เช่น ETH, NFT หรือเหรียญ DeFi – Ledger, SafePal, OneKey, SecuX อาจตอบโจทย์
  • คุณโอเคกับ “ความยากง่ายในการใช้งานแค่ไหน”?
    • ถ้ามือใหม่ → เริ่มจากแบรนด์ที่ UI เป็นมิตร เช่น Trezor, OneKey, SafePal, Ledger
    • ถ้ามีประสบการณ์หรือสายเทคนิค → ลองแบรนด์ที่เปิดกว้าง เช่น Keystone, BC Vault

สุดท้าย ในโลกคริปโต ไม่มีธนาคาร ไม่มีศูนย์กลาง นั่นแปลว่า “คุณ” คือธนาคารของตัวเอง และ Hardware Wallet คือตู้นิรภัยที่คุณออกแบบได้เอง การเริ่มต้นเรียนรู้และเลือก Hardware Wallet ที่ใช่ คือก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง 

[ หากคุณสนใจแบรนด์ Trezor, OneKey, หรือ Keystone คุณสามารถเลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เช่น Bitcast เพื่อรับประกันสินค้าของแท้ พร้อมการสนับสนุนหลังการขายที่เชื่อถือได้ และมีการรับประกัน 1 ปีเต็ม โดยสามารถคลิกเพื่อดูสินค้าและสั่งซื้อได้ที่นี่ครับ → Bitcast ]

ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปกับซีรีส์นี้ — แล้วพบกันใน EP.2 แบรนด์ที่เน้น นวัตกรรม ฟีเจอร์ใหม่ ๆ เร็ว ๆ นี้ครับ


กลับไปยังบล็อก

แสดงความคิดเห็น

โปรดทราบว่าความคิดเห็นจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะได้รับการเผยแพร่