
Tangem VS Tapsigner ศึกชิงเจ้า Hardware wallet การ์ดตัวมัม! ตัวไหนใช่สำหรับคุณ!
Share
ในโลกคริปโตที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ส เรามาอยู่ในยุคที่ Hardware Wallet ก็พัฒนาไปไกลกว่าแค่กล่องเล็กๆ แล้วเช่นกัน หลาย ๆ อย่างกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สะดวกสบายและพกพาง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "Hardware Wallet ในรูปแบบบัตร" ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะทั้งบางเบา พกพาสะดวกเหมือนบัตรเครดิต และใช้งานง่ายแค่แตะกับสมาร์ทโฟน
วันนี้แอดจะพาเพื่อน ๆ มาเจาะลึกการเปรียบเทียบสองผู้เล่นหลักในตลาด Hardware Wallet รูปแบบบัตรกัน คือ Tangem Hardware Wallet และ Tapsigner ถึงแม้ทั้งคู่จะนำเสนอความปลอดภัยในรูปแบบบัตรที่้เน้นความสะดวก พกพาง่ายและใช้งานผ่าน NFC คล้ายคลึงกัน แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนั้นมีคุณสมบัติและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มาร่วมค้นหาว่า Hardware Wallet รูปแบบบัตรแบบไหนที่ใช่สำหรับสไตล์การลงทุนของคุณ
Tangem Hardware Wallet – ง่าย สะดวก หลากหลาย
Tangem Wallet นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างจาก Hardware Wallet ทั่วไป ด้วยรูปแบบของ "บัตร" คล้ายบัตรเครดิต หรือแม้แต่ "แหวน" (Tangem Ring) ที่เป็นฟอร์มแฟคเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ การออกแบบนี้เน้นความเรียบง่ายและสะดวกในการพกพา ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายผ่านเทคโนโลยี NFC เพียงแค่แตะบัตรหรือแหวนกับสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC ก็สามารถเข้าถึงและทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้ทันที
หนึ่งในคุณสมบัติหลักของ Tangem คือการมาเป็น ชุด 2 หรือ 3 ใบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเลือกการสำรองข้อมูลหลัก กลไกนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนสินทรัพย์ได้ในกรณีที่การ์ดหลักสูญหายหรือเสียหาย โดย ไม่จำเป็นต้องจดจำ Seed Phrase แบบดั้งเดิม (แม้ว่า Tangem Wallet รุ่น 2.0 จะเพิ่มตัวเลือกในการสร้างหรือนำเข้า Seed Phrase (BIP39) สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการวิธีการสำรองข้อมูลแบบคุ้นเคยก็ตาม)
สิ่งที่ทำให้ Tangem โดดเด่นคือ ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่หรือใช้สายเชื่อมต่อใดๆ ซึ่งเพิ่มความสะดวกในการพกพาและใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีความทนทานสูง ด้วยการรับรอง IP68 ที่หมายถึงการกันน้ำและกันฝุ่น รวมถึงความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิสุดขั้วและ X-rays
Private Key ของ Tangem ถูกสร้างขึ้นภายในชิป Secure Element โดยใช้ True Random Number Generator (TRNG) ซึ่งรับรองว่าคีย์ที่สร้างขึ้นนั้นเป็นเอกลักษณ์และสุ่มอย่างแท้จริง และ Private Key จะไม่เคยออกจากชิปในสถานะที่ไม่ได้เข้ารหัส
ข้อดีของ Tangem Wallet
- ความง่ายในการใช้งาน : ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ตั้งค่ารวดเร็ว การออกแบบคล้ายบัตรเครดิตและการใช้เป็นรูปแบบ NFC
- ความสะดวก : บาง พกพาง่าย ใส่กระเป๋าเงินได้สบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หรือสายเคเบิลเชื่อมต่อ
- ความแข็งแรงทนทาน : รับรอง IP68 (กันน้ำ กันฝุ่น), ทนต่อ X-rays, วัสดุแข็งแกร่ง (Zirconium Dioxide สำหรับ Tangem Ring) มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 25 ปี
- รองรับสินทรัพย์ที่หลากหลาย : Tangem รองรับสกุลเงินดิจิทัลและโทเค็นกว่า 16,000 สกุลเงิน บนกว่า 85 เครือข่ายบล็อกเชน ณ กรกฎาคม 2025 (รวมถึง Bitcoin, Ethereum, Solana, Cardano, Polygon ฯลฯ) เหมาะสำหรับผู้ที่มีพอร์ตโฟลิโอคริปโตที่หลากหลาย
- ความปลอดภัย : ใช้ชิป Secure Element ที่ได้รับการรับรอง Common Criteria EAL6+ (มาตรฐานสูงสุด) เฟิร์มแวร์ผ่านการตรวจสอบอิสระสองครั้งจากบริษัทชั้นนำ และไม่เคยมีรายงานการแฮก Tangem Wallet ที่ประสบความสำเร็จ
- ระบบสำรองข้อมูลที่ยืดหยุ่น : มีตัวเลือกการสำรองข้อมูลด้วยการ์ดสำรอง 2-3 ใบ หรือ Seed Phrase (สำหรับรุ่น 2.0)
ข้อจำกัดของ Tangem Wallet
- ต้องใช้สมาร์ทโฟน : การใช้งาน Tangem จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC ไม่มีตัวเลือกการใช้งานบนคอมพิวเตอร์โดยตรง
- เฟิร์มแวร์เป็น Closed Source : แม้แอปจะเป็น Open Source และผ่านการตรวจสอบ แต่เฟิร์มแวร์บนชิป Secure Element เป็น Closed Source ซึ่งอาจเป็นข้อกังวลสำหรับผู้ที่ต้องการความโปร่งใสสูงสุด
- การกู้คืนอาจซับซ้อนหากไม่มี Seed Phrase : หากคุณเลือกไม่ใช้ Seed Phrase และทำบัตรสำรองหายหมด รวมถึงลืมรหัสผ่าน อาจนำไปสู่การสูญเสียสินทรัพย์ถาวรได้
- ข้อจำกัดในการรวมกับ DeFi/dApps และ Multi-Signature wallet : แม้จะรองรับ WalletConnect แต่ก็ไม่ได้มีการรวมเข้ากับ DeFi หรือ dApps ที่ซับซ้อนได้โดยตรงเท่า Hardware Wallet แบบดั้งเดิม และไม่สามารถทำ Multisig ได้
- ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนอาจสูงกว่า : การใช้ฟีเจอร์ Tangem Express เพื่อแลกเปลี่ยนเหรียญผ่าน SimpleSwap หรือ Changelly อาจมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มอื่น
ราคา 2,660 บาท 👉🏻 Tangem 3 Card set - Bitcast
Tapsigner – สำหรับ Bitcoiner โดยแทร่
Tapsigner เป็น Hardware Wallet ในรูปแบบการ์ดที่ออกแบบมาเพื่อเก็บ Private Key ของ Bitcoin โดยเฉพาะ โดยถูกนิยามว่าเป็น "Bitcoin Private Key on a card" การ์ดนี้ใช้งานโดยการแตะกับสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC เพื่อเซ็นธุรกรรม Bitcoin
Tapsigner ถูกวางตำแหน่งให้เป็น "สะพานเชื่อม" หรือ "Middle Ground" ระหว่างความสะดวกของ Hot Wallet กับความปลอดภัยของ Cold Storage โดยมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ทำธุรกรรม Bitcoin ที่บ่อยครั้ง ในขณะที่ยังคงรักษาความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์ Private Key ของ Tapsigner ถูกสร้างขึ้นโดยการรวม Entropy (ข้อมูลสุ่ม) ของผู้ใช้เข้ากับ Entropy ที่เลือกโดยการ์ดในระหว่างกระบวนการตั้งค่า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ผลิตไม่ทราบ Private Key ของผู้ใช้
Tapsigner มาพร้อม ปลอกป้องกันคลื่นวิทยุ (RF-blocking sleeve) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตผ่านคลื่นวิทยุ
ข้อดีของ Tapsigner
- Bitcoin-Only : เหมาะสำหรับผู้ใช้ Bitcoin เพียงอย่างเดียว
- ราคาประหยัด : Tapsigner เป็นตัวเลือกที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย (1,440 บาท) ทำให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของ Hardware Wallet ให้เข้าถึงคนได้กว้างขึ้น
- พกพาสะดวก : ด้วยรูปแบบบัตรทำให้สามารถพกพาได้ง่ายในกระเป๋าเงินทั่วไป
- รองรับ Multi-Signture wallet : Tapsigner สามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของ Multi-signature wallet ได้โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Nunchuk Wallet ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้งานขั้นสูงที่ต้องการความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
- การสร้าง Private Key ที่ปลอดภัย: Private Key ถูกสร้างโดยการรวม Entropy ของผู้ใช้และการ์ด ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยว่า Private Key ของเราจะไม่เคยออกจากอุปกรณ์
- โปรโตคอลการสื่อสาร Open Source : ไลบรารี Python และ Protocol Specification สำหรับการสื่อสารกับการ์ดเป็น Open Source ซึ่งเพิ่มความโปร่งใสในระดับโปรโตคอล
ข้อจำกัดของ Tapsigner
- รองรับเฉพาะ Bitcoin : ไม่รองรับการจัดการสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย
- ไม่มีหน้าจอแสดงผล : ผู้ใช้ไม่สามารถยืนยันรายละเอียดธุรกรรมบนอุปกรณ์ได้โดยตรง ต้องอาศัยหน้าจอของสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MITM) หากสมาร์ทโฟนถูกบุกรุก
- Firmware เป็น Close Source : Firmware ที่ทำงานบนชิป Secure Element ไม่ได้เป็น Open Source
- ไม่ใช้ BIP-39 Seed Phrase : การสำรองข้อมูลทำโดยการเข้ารหัส XPRV ด้วยคีย์ 16 ไบต์ที่พิมพ์อยู่บนการ์ด ซึ่งแตกต่างจาก Seed Phrase แบบ 12/24 คำที่คุ้นเคย
- พึ่งพาแอปพลิเคชันภายนอก : การทำงานขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชัน Wallet ของบุคคลที่สาม (เช่น Nunchuk) ซึ่งประสบการณ์ผู้ใช้อาจแตกต่างกันไป
- ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการ HODL จำนวนมาก และระยะยาว : Coinkite แนะนำ Coldcard ซึ่งเป็น Hardware Wallet ที่มีความปลอดภัยสูงกว่าของตนเอง สำหรับการจัดเก็บ Bitcoin ในระยะยาวและจำนวนมาก
ราคา 1,440 บาท 👉🏻 Tapsigner - Bitcast
Tangem หรือ Tapsigner? เลือกตัวไหนดีให้เหมาะกับคุณ
การตัดสินใจเลือก Hardware Wallet ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งานของคุณเป็นหลักครับ
Tangem Hardware Wallet เหมาะสมกับ
- มือใหม่ในโลกคริปโต : ด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายคล้ายบัตรเครดิตและการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่าย Tangem ช่วยลดความซับซ้อนที่มักพบใน Hardware Wallet แบบดั้งเดิม การตั้งค่ารวดเร็ว ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับการดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง (เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นแต่อาจจะไม่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการเก็บระยะยาว)
- นักลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย : หากคุณถือทั้ง Bitcoin, Ethereum, Solana, หรือ Altcoin อื่นๆ จำนวนมาก Tangem คือโซลูชัน "One-Stop-Service" ที่ช่วยให้คุณจัดการสินทรัพย์ทั้งหมดได้ในอุปกรณ์เดียว
- ผู้ที่ต้องการเน้นเรื่องความสะดวกสบาย : การออกแบบที่บาง พกพาง่าย และไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ ทำให้ Tangem เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
Tapsigner เหมาะสมกับ
- Bitcoin HODLER : สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin เพียงอย่างเดียว และต้องการ Hardware Wallet ที่มุ่งเน้นความปลอดภัยของ Bitcoin โดยเฉพาะ
- ผู้ใช้ Bitcoin ขั้นสูงและผู้ที่ต้องการ Multi-Signture wallet
- ผู้ที่ต้องการ Hardware Wallet ราคาประหยัดสำหรับ Bitcoin : ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ง่าย ทำให้ Tapsigner เข้าถึงผู้ใช้ Bitcoin ได้กว้างขึ้น แต่อาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการจะเก็บระยะยาว
บทสรุปและคำแนะนำ
ทั้ง Tangem Hardware Wallet และ Tapsigner ต่างนำเสนอโซลูชันการจัดเก็บ Private Key แบบออฟไลน์ที่ทันสมัยและสะดวกสบายในรูปแบบการ์ดที่โดดเด่นครับ
หากคุณกำลังมองหา ความเรียบง่าย การรองรับสินทรัพย์ที่หลากหลาย และความสะดวกสบาย ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอคริปโตที่แตกต่างกัน รวมถึงเป็นมือใหม่ในวงการ Tangem Wallet คือตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
แต่ถ้าคุณเป็นผู้ที่เน้น Bitcoin เพียงอย่างเดียว มีประสบการณ์ และต้องการความสามารถขั้นสูง เช่น Multisig หรือ Hardware wallet ที่เก็บ Bitcoin ในราคาที่คุ้มค่า Tapsigner คือคำตอบที่เหมาะสมกว่าครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ใช้ทุกคนควรทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละผลิตภัณฑ์อย่างรอบคอบและพิจารณาความต้องการด้านความปลอดภัยและประสบการณ์การใช้งานของตนเองก่อนตัดสินใจ
การลงทุนใน Hardware Wallet ใดๆนั้น คือ การดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย“ตัวเอง”เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญที่ตัวเองจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ และการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมคือก้าวแรกสู่ความปลอดภัยทางการเงินในโลกคริปโตครับ