ราคาบิตคอยน์ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้คนที่เคยห่างหายไปจากตลาดก็เริ่มกลับเข้ามา Hardware Wallet เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในช่วงที่ผ่านมา ก็เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง มีคนเริ่มเข้ามาถามผมว่าซื้อตัวไหนดี
Trezor ยังคงเป็นผู้นำด้าน Hardware Wallet
Trezor เป็น Hardware Wallet ได้ถูกพูดถึงค่อนข้างเยอะในทางที่เป็นบวก เนื่องจากที่ผ่านมา Ledger ประสบปัญหาเรื่องของภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของ Hardware Wallet ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันที่เอาไว้ใช้สำหรับการ Recovery Seed (ดึง Master Private Key ออกมาจาก Hardware Wallet ได้ไงว่ะ คือเคยโม้ว่ามี Secure Element Chip แล้วดึงไม่ได้ไง) หรือในช่วงที่ผ่านมาถูกแฮกเกอร์เข้าไปเปลี่ยนแปลงโค้ดใน Github ถึงแม้จะออกมาแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว และตัว Hadware Wallet ของ Trezor หรือ Ledger Live ที่เป็น Software สำหรับการบริหารจัดการ Ledger ไม่ได้ถูกแฮกก็ตามแต่ภาพลักษณ์นั้นได้เสียไปแล้ว
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา Trezor ได้ออก Hardware Wallet รุ่นใหม่ชื่อ Trezor Safe 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมคิดว่าควรจะเป็น Hardware Wallet แห่งปี 2024 ได้เลยทำไมผมถึงคิดแบบนั้นค่อยๆ ตามมาไปนะครับ
ประสบการณ์การใช้ Hardware Wallet
ผมได้เข้ามาในตลาดคริปโตในช่วงปี 2016 เริ่มมี Hardware Wallet ตัวแรกคือ Ledger Nano S ตอนนั้นซื้อเพราะ Trezor เก็บเหรียญ Cardano ไม่ได้ (555 อย่าหาทำนะครับ) ส่วน Hardware Wallet ตัวที่ 2 ก็คือ Trezor One ซึ่งตัวนี้ผมไม่ได้ซื้อเองแต่เป็นคนที่ติดตามช่องสปอนเซอร์ให้ผมเอามารีวิวให้เพื่อนๆดู ตัว Trezor One เป็น Hardware Wallet ที่ดีมาก ปัจจุบันผมยังใช้อยู่เลยและยังใช้ได้ดีอยู่ด้วย โดยฟังชั่นการใช้งานของ Trezor One ยังเพียงพอสำหรับคนที่เป็นสาย Hodler อย่างผม Hardware Wallet ตระกูล Trezor จะเหมาะกับคนที่เก็บเหรียญในระยะยาวจะไม่ค่อยยุ่งอะไรกับตัว บิตคอยน์หรือคริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ มากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยความที่ผมไม่ค่อยได้หยิบมันขึ้นมาดูสักเท่าไหร่เลยทำให้มันยังใช้งานได้ดีอยู่
เทียบ Trezor กับ Ledger
ในความรู้สึกลึกๆ ของผมคือ Trezor One เป็น Hardware Wallet ที่ค่อนข้างเสถียรในแง่ของ Firmware แล้วก็ Application ในการใช้งาน ถ้าเปรียบเทียบกับ Ledger Hardware Wallet แล้ว ตัว Ledger จำเป็นจะต้อง Install Application เข้าไปในตัว Ledger แล้วเวลาใช้ก็ต้องเปิด App ซึ่งข้อดีคือทำให้มันรองรับเหรียญจำนวนมากแต่ข้อเสียก็คือการใช้งานที่ยาก และคุณลองคิดดูความเสี่ยงที่คนพัฒนา App ต่างๆ จะทำให้เกิดช่องโหมดที่จะถูกโจมตีและทำให้ความไม่เสถียรของแอปพลิเคชันมีตามมาด้วยจะมากขนาดไหน
ความเรียบง่ายของ Trezor One จึงเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบ ถ้าคุณจะมี Hardware Wallet สักอันมันเพียงพอแล้ว แต่สำหรับคนที่ต้องการเก็บเหรียญเยอะๆ ก็อาจจะรู้สึกว่า Trezor One ไม่ได้ตอบโจทย์เขาสักเท่าไหร่ หรือแม้แต่กระทั่งคนที่ชอบใช้ผ่านมือถือ Hardware Wallet ตระกูล Trezor อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์สักเท่าไหร่
Trezor Model T เรือธงในอดีต
ต้องเรียกได้ว่า Trezor เป็นเจ้าแรกในตลาด Hardware Wallet ปัจจุบันก็ยังเป็นผู้นำในตลาด หลังจากที่ Trezor ปล่อย Trezor One ออกมาหลายปี ในที่สุด Trezor ก็ปล่อยตัวเรือธงตัวใหม่คือ Trezor Model T เป็นรุ่นที่มีหน้าจอสัมผัสที่เป็นหน้าจอสีและมีหน้าจอใหญ่ขึ้น ตัวเครื่องหนาขึ้น
นอกจากเรื่องของหน้าจอกับขนาดแล้วก็มีเรื่องของการ Backup แบบ Advanced ที่เรียกว่า Shamir backup ที่สามารถแยก Seed ออกเป็นส่วนๆ สำหรับเก็บ แม้ว่าบางส่วนของ Seed เราจะหายไปเรายังสามารถที่จะกู้คืนอกลับมาได้ เช่นแบ่งเป็นห้าส่วน หายได้สองส่วน เอาสามส่วนที่เ่หลือมากู้ Seed ได้
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Trezor Model T ไม่คุ้มค่ากับราคาที่จะจ่าย ยกเว้นคนที่จะใช้ต้องการฟังก์ชัน Shamir backup แต่เรื่องจอใหญ่ขึ้นและจอมีสีผมคิดว่าไม่ได้ตอบโจทย์ผมสักเท่าไหร่ ถ้าใครจะซื้อส่วนใหญ่ผมก็จะแนะนำไป Trezor One ดีกว่า Trezor Model T มันแพงเกิน แต่บางคนก็เอา Trezor Model T เพราะมันเก็บเหรียญอื่นๆ ได้มากกว่า Trezor One
จุดอ่อนของ Trezor ในอดีต
สิ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนของ Trezor One และ Trezor Model T ทั้ง 2 รุ่นนี้คือ ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังไม่มี Secure Element Chip เป็นสิ่งที่เอาไว้สำหรับเก็บข้อมูลที่สำคัญอย่าง Master Private Key(Seed phrase) โดยความหมายคือ ถ้าหากตัวฮาร์ดแวร์ wallet ถูกขโมยไป Secure Element Chip จะเป็นตัวที่ช่วยปกป้องให้แฮกเกอร์เข้าถึง Master Private Key ของเราได้ยากขึ้น แต่ก็แก้ไขด้วยการออกฟีเจอร์ที่เรียกว่า Passphrase ออกมาขัดตาทัพชั่วคราว ซึ่งจะสามารถป้องกันได้ระดับนึงว่า คนที่ขโมย Hardware Wallet ไป ถึงแม้คุณจะได้ Seed แต่ไม่รู้ Passphrase ก็ไม่สามารถเข้าถึง Master Private Key เราได้ ท่ามกลางผู้ผลิต Hardware Wallet รายอื่นในตลาดใส่ Secure Element Chip เข้าไปกันหมดแล้ว
ปรัชญา Open Source ที่ Trezor ยึดถือ
Trezor เป็น Hardware Wallet ที่ดำเนินแนวทางตามปรัชญา Open Source อันนี้เป็นส่วนนึงที่ทำให้ Trezor ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย แล้ว Open Source ดียังไง
Open Source ทำให้เกิดความโปร่งใส คนทั่วๆ ไปสามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบ Source Code ได้สามารถที่จะลอง Compile และเปรียบเทียบกับตัวที่โหลดเข้าไปใน Hardware Wallet ได้ เปิดให้โปรแกรมเมอร์ทั่วโลก สามารถที่จะเข้ามาช่วยตรวจสอบความถูกต้องแล้วก็หาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตทำให้สามารถที่จะแก้ไขช่องโหว่ได้ทันท่วงที Open Source แสดงถึงความจริงใจ และเปิดให้ใครก็ได้นำเอาความรู้ไปพัฒนาต่อยอด ยกตัวอย่าง OneKey เป็น Hardware Wallet ที่ Fork มาจาก Github ของ Trezor เลยและก็เดินตามปรัชญา Open Source ของ Trezor เหมือนกัน
Secure Element Chip ใน Trezor Safe 3
ส่ิงที่หลายๆ คนรอได้จบลงแล้ว Hardware Wallet รุ่นใหม่ของ Trezor ชื่อ Trezor Safe 3 ได้มีการใส่ Secure Element Chip เข้าไปเรียบร้อยแล้ว และ Treozr ยังคงยืนยันตามปรัชญา Open Source เหมือนเดิม เขาได้มีการคุยกับผู้ผลิตว่า ในแง่ของช่องโหว่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในชิป เขาสามารถเปิดเผยได้ แต่ไม่สามารถเปิดตัวดีไซน์ภายในตัวชิป ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของสัญญาการเปิดเผยความลับกับทางผู้ผลิต ก็ถือว่าเป็นจุดที่สร้างสมดุลระหว่าง Open Source กับการใช้ Secure Element Chip ใน Hardware wallet ได้ดี
จุดเด่น Trezor Safe 3
Trezor Safe 3 เป็น Hardware Wallet ส่วนผสมผสานระหว่าง Trezor One ที่อัพเกรดแล้วใส่ไส้ในบางอย่างของ Trezor Model T เข้าไป สิ่งที่เป็นคำอธิบายง่ายๆ ของ Trezor Safe 3 ก็คือ Trezor One ที่ใส่ Secure Element Chip และ ใส่ฟังชั่น Shamir Backup ที่มีอยู่ใน Hardware Wallet Trezor Model T เข้าไปนั่นเอง เหรียญที่รองรับรองรับมากกว่า Trezor One รองรับได้พอๆ กับ Trezor Model T
จุดด้อยใน Trezor Safe 3 (ของบางคน)
Trezor Safe 3 ก็ยังคงหลักการเดิมคือไม่มีบลูทูธและไม่มีแบตเตอรี่ ซึ่งผมคิดว่า Trezor คงมองว่าการใช้บลูทูธมันมีความเสี่ยง การใช้สายยังไงยังปลอดภัยกว่า คือถ้าจะใช้มือถืออาจจะต้องไป Air-gap technology แทน Trezor ทั้งสามรุ่นจึงยังเป็น Hardware Wallet ที่ไม่ได้เหมาะกับคนที่ต้องการจะบริหารจัดการผ่านทางมือถือ
Trezor Safe 3 คุ้มไหม
ผมคิดว่า Trezor รุ่นใหม่ อย่าง Trezor Safe 3 ที่ออกมา ผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล ถ้าใครที่เป็นสายเก็บระยะยาวแล้วก็ไม่ค่อยได้ยุ่งอะไรกับมันมากผมแนะนำซื้อเลย คุ้ม Trezor ได้ออกตัวแอพพลิเคชั่นบนมือถือซึ่งสามารถเอาไว้ติดตาม Portfolio ของเราได้ ชื่อว่า Trezor Suite Lite ด้วยการใช้ XPUB เพื่อติดตามตัว portfolio ของเราทั้งหมด แต่ดูได้อย่างเดียวนะ ไม่สามารถที่จะบริหารจัดการอย่างอื่นได้ แค่นี้ก็อาจจะเพียงพอสำหรับคนที่เป็นสายเก็บ
เทียบกับรุ่นอื่นในตลาด
เทียบกับเจ้าอื่นในตลาดผมมองว่าสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค Trezor Safe 3 เป็นตัวที่ตอบโจทย์มากๆ แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้มือถือเป็นหลักอาจจะต้องมองหาตัวอื่น เช่น OneKey Classic ซึ่ง OneKey Classic เป็น Hardware Wallet ที่เอาพื้นฐานของ Trezor มาพัฒนาต่อ เนื่องจาก Trezor เป็นโปรเจคที่ Open Source เพราะฉะนั้นใครจะเอาโค้ดไปทำต่อก็ได้ ซึ่ง OneKey Classic ได้เพิ่มเติมตัวบลูทูธกับแบตเตอรี่เข้ามา สามารถทำให้เชื่อมต่อกับมือถือได้ อีกทั้ง OneKey ยังพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนมือถือที่ง่ายสำหรับการใช้งานสำหรับมือใหม่ สามารถบริหารจัดการ DApp บนแอปพลิเคชั่นในมือถือได้เลย สายฟาร์มสาย DeFi ใช้ตัว OneKey Classic ได้สบายๆ หรือถ้าใครอยากจะใช้ Air-Gap technology กับมือถือผมแนะนำอีกรุ่นนึงคือ Keystone Pro 3 ที่ได้ทั้งความปลอดภัย จาก Air-Gap technology และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Metamask บนมือถือในการเล่น DeFi ได้
บทสรุป
โดยสรุปแล้วสำหรับคนที่เป็นสาย Hodl ไม่ค่อยได้ยุ่งอะไรกับมันมากใช้คอมและโน้ตบุ๊คเป็นหลัก Trezor Safe 3 เป็น Hardware Wallet ที่ดีที่สุดในปี 2024 ของคุณแล้ว (เขียนตอนปลายปี 2023 นะครับ) แต่ถ้าคิดว่าจะใช้กับมือถือจะเล่นกับ DeFi/Dapp หรือพวกสายฟาร์มทั้งหลายอาจจะต้องมองออฟชั่นอื่นอย่างเช่น OneKey Classic หรือ Keystone Pro 3
คุณคิดเห็นยังไงกับบทความนี้แสดงความเห็นได้เลยครับ