
รู้จักแบรนด์ Hardware Wallet จากทั่วโลก /EP.2 แบรนด์ที่เน้นนวัตกรรมและฟีเจอร์ใหม่
Share
เมื่อพูดถึง Hardware Wallet หลายคนอาจนึกถึงแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Trezor หรือ Ledger ซึ่งเราได้พาคุณไปรู้จักแล้วใน EP.1 แบรนด์พื้นฐานที่เป็นที่นิยม ที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป
แต่ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว มีอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก แต่กลับเต็มไปด้วยแนวคิดใหม่ ๆ ฟีเจอร์ล้ำ ๆ และนวัตกรรมที่อาจเปลี่ยน วิธีคิดของคุณเกี่ยวกับ “การเก็บบิตคอยน์หรือคริปโทฯ ให้ปลอดภัย”
บางแบรนด์ออกแบบมาให้ ใช้งานโดยไม่ต้องมี Seed Phrase, บางแบรนด์ ใช้ลายนิ้วมือแทน PIN, บางแบรนด์เชื่อมกับ MetaMask, dApps และโลก DeFi ได้ในคลิกเดียว, ขณะที่บางแบรนด์กลับเลือก โฟกัสเฉพาะ Bitcoin แบบ Hardcore
บทความ EP.2 นี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 แบรนด์ Hardware Wallet ที่เน้นนวัตกรรมและฟีเจอร์เฉพาะทาง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการมากกว่าแค่ “ความปลอดภัยพื้นฐาน” แต่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่ เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ยุคใหม่ และพร้อมจะตอบโจทย์โลก Web3 อย่างแท้จริง
หากคุณกำลังมองหา Hardware Wallet ที่ “ไม่เหมือนใคร” หรืออยากลองของใหม่ที่อาจเหมาะกับสไตล์การใช้งานของคุณมากกว่าแบรนด์กระแสหลัก EP.2 นี้พร้อมเสิร์ฟลิสต์ที่คุณอาจไม่เคยได้ยิน แต่ควรค่าแก่การรู้จักครับ
EP.2 แบรนด์ที่เน้น นวัตกรรม ฟีเจอร์ใหม่ ๆ
EP.2 นี้เราคัดเลือกจากเกณฑ์อะไร?
เพื่อให้เข้าใจโลกของ Hardware Wallet ได้อย่างเป็นระบบ ซีรีส์ Master List นี้จะแบ่งแบรนด์ออกเป็น 3 กลุ่ม โดยใน EP.2 เป็นแบรนด์ที่เน้น นวัตกรรม ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งคัดเลือกจากเกณฑ์ต่อไปนี้:
- มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น NFC, Bluetooth, Biometrics ฯลฯ
- มีส่วนเชื่อมต่อกับโลก DeFi / NFT / Web3 ได้ดี
- ดีไซน์แตกต่าง น่าใช้ ฟีเจอร์ทันสมัย
- รองรับการใช้งานผ่านมือถือ หรือเชื่อมต่อแบบไร้สาย
เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม "แบรนด์นวัตกรรมสายเทค" เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เริ่มหันมาสนใจในเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Hardware Wallet
ภาพรวม 10 รายชื่อแบรนด์ Hardware Wallet
กลุ่มนี้คือแบรนด์ที่ซึ่งมีรูปแบบการใช้งานที่ “คิดนอกกรอบ” ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการอะไรล้ำกว่าแค่การเก็บเหรียญธรรมดา
- Bitkey (bitkey.world) – สร้างโดย Block (Jack Dorsey) แบ่งการควบคุม 3 ส่วน
- Arculus (getarculus.com) – ใช้ง่าย แตะแล้วใช้ได้เลย ผ่านการ์ด NFC สุดบาง
- Tangem (tangem.com) – ทนทาน ใช้ได้นาน 25 ปี ไม่ต้องชาร์จ ไม่ต้องตั้งค่า
- CoolWallet (coolwallet.io) – กระเป๋ารูปแบบบัตร เชื่อมต่อมือถือผ่าน Bluetooth
- D'CENT (dcentwallet.com) – ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ใช้งานง่ายผ่านหน้าจอ OLED
- GridPlus (gridplus.io) – หน้าจอใหญ่ ควบคุมธุรกรรมได้อย่างละเอียด
- Cypherock (cypherock.com) – ไม่ต้องใช้ seed phrase เก็บแบบกระจายความเสี่ยง
- HASHWallet (gethashwallet.com) – หน้าจอ e-ink แสดงผลธุรกรรมอย่างปลอดภัย
- NGRAVE (ngrave.io) – Air-gapped 100% ปลอดภัยขั้นสุด ไม่มีการเชื่อมต่อใดๆ
-
OPOLO (opolo.io) – หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย รองรับเหรียญจำนวนมาก
รายละเอียดข้อมูลของแต่ละแบรนด์
1. Bitkey
- ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา (United States of America)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2023 (โดยบริษัท Block ของ Jack Dorsey)
- รุ่นยอดนิยม: Bitkey (มีเพียงรุ่นเดียวในปัจจุบัน)
-
จุดเด่น:
- พัฒนาโดย Block (บริษัทแม่ของ Cash App) ซึ่งเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ Bitcoin ของ Jack Dorsey
- ระบบ Multisig อัจฉริยะ ใช้การควบคุมร่วมกันระหว่างผู้ใช้ แอป และเซิร์ฟเวอร์ของ Block
- ดีไซน์สวยงาม เรียบง่าย ใช้งานคู่กับสมาร์ตโฟน
- โฟกัสเฉพาะ Bitcoin เท่านั้น เพื่อความเรียบง่ายและปลอดภัย
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- เหมาะกับผู้ใช้งานใหม่หรือผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
- แอป Bitkey ใช้งานง่าย มีการแจ้งเตือนและระบบกู้คืนที่ชัดเจน
- ใช้งานสะดวกแบบ “เสียบน้อย คิดน้อย” เหมาะกับกลุ่ม mainstream
-
ข้อควรระวัง:
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ self-custody แบบ 100% เพราะยังพึ่งพา Block Cloud สำหรับการกู้คืน
- รองรับเฉพาะ Bitcoin ไม่สามารถใช้กับเหรียญหรือโทเคนอื่น ๆ ได้
2. Arculus
- ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา (United States of America
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2021
- รุ่นยอดนิยม: Arculus Cold Storage
-
จุดเด่น:
- รูปแบบการ์ด NFC ที่บางเบา ขนาดเท่าบัตรเครดิต
- ไม่มีแบตเตอรี่ ไม่ต้องชาร์จ ไม่มีสาย โดยใช้พลังงานจากการแตะกับสมาร์ตโฟน
- รองรับเหรียญคริปโตยอดนิยมกว่า 100 รายการ
- อินเทอร์เฟซในแอปมือถือออกแบบทันสมัย
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการทางเลือกที่พกง่าย ใช้งานง่าย
- ทำธุรกรรมได้เพียงแตะการ์ดกับมือถือในขณะใช้แอป Arculus
- ดีไซน์เน้นเรียบหรู เหมาะกับผู้ใช้งานยุคใหม่
-
ข้อควรระวัง:
- ไม่มีหน้าจอบนอุปกรณ์ ทำให้ไม่สามารถยืนยันธุรกรรมบนตัวการ์ดได้โดยตรง
- ยังไม่รองรับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สหรือการใช้งานขั้นสูง เช่น PSBT หรือ multisig
3. Tangem
- ประเทศต้นกำเนิด: สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018
- รุ่นยอดนิยม: Tangem Wallet 2.0 (3-card pack), Tangem Ring
-
จุดเด่น:
- ใช้งานผ่าน NFC เพียงแตะกับสมาร์ตโฟนโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่
- ไม่มี seed phrase ใช้ระบบจัดการกุญแจผ่านการ์ดสำรอง 2 ใบที่ผู้ใช้ถือไว้
- กันน้ำ กันความชื้น และทนทานต่ออุณหภูมิสูง
- อายุการใช้งานของชิปนานถึง 25 ปี
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- ตั้งค่าง่าย ใช้การแตะการ์ดกับมือถือ ทำธุรกรรมผ่านแอป Tangem
- แอปสามารถดูยอดเหรียญ ส่ง/รับ ได้ครบ
- เหมาะกับผู้ใช้มือใหม่หรือสาย “anti-seed phrase”
-
ข้อควรระวัง:
- ไม่มีหน้าจอแสดงผลบนการ์ด → ไม่สามารถตรวจสอบธุรกรรมแบบออฟไลน์ได้
- ระบบ Recovery ต้องพึ่งการ์ดสำรอง ถ้าสูญหายทั้งหมดอาจไม่สามารถกู้คืนได้
4. CoolWallet
- ประเทศต้นกำเนิด: ไต้หวัน (Taiwan)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2016 (โดย CoolBitX)
- รุ่นยอดนิยม: CoolWallet Pro, CoolWallet S
-
จุดเด่น:
- ดีไซน์บางเฉียบแบบบัตรเครดิต มีหน้าจอแสดงผลเล็ก
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth กับสมาร์ตโฟน
- รองรับ staking, NFT, และฟีเจอร์ DeFi ผ่านแอป
- แบตเตอรี่ในตัว ใช้งานได้นานหลายวันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- แอป CoolBitX ใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ครบครันทั้ง NFT, DEX และ portfolio
- อุปกรณ์พกง่าย ใส่กระเป๋าสตางค์ได้จริง
-
ข้อควรระวัง:
- ไม่มีฟีเจอร์ air-gapped / มีความเสี่ยงหากเปิด Bluetooth ทิ้งไว้
- ไม่ใช่ระบบโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ
5. D'CENT
- ประเทศต้นกำเนิด: เกาหลีใต้ (South Korea)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018 (เปิดตัวสินค้าปี 2020)
- รุ่นยอดนิยม: D’CENT Biometric Wallet
-
จุดเด่น:
- มีระบบสแกนลายนิ้วมือ เพิ่มความปลอดภัยระดับสูง
- หน้าจอ OLED ขนาดใหญ่ สามารถดูธุรกรรมและอนุมัติได้ชัดเจน
- รองรับ 75 Mainnets & 3,800+ สกุลเงินดิจิทัล รวมทั้ง NFT และ DeFi ผ่าน WalletConnect
- เชื่อมต่อผ่าน USB หรือ Bluetooth
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- การสแกนลายนิ้วมือช่วยให้อนุมัติธุรกรรมรวดเร็วโดยไม่ต้องกด PIN ทุกครั้ง
- ดีไซน์เครื่องจับถนัดมือ วัสดุแน่นหนา
- อินเทอร์เฟซแอปทันสมัย เข้าใจง่าย เหมาะทั้งผู้เริ่มต้นและผู้เชี่ยวชาญ
-
ข้อควรระวัง:
- หากสแกนลายนิ้วมือไม่ได้ อาจต้องใช้วิธีสำรองผ่าน PIN หรือ Recovery phrase
- แอปและเฟิร์มแวร์ยังไม่เปิดซอร์สทั้งหมด
- Bluetooth Attack Surface – หากไม่ใช้งาน ควรปิด Bluetooth เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อไร้สาย
6. GridPlus
- ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา (United States of America)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2015 (เปิดตัวสินค้าปี 2019)
- รุ่นยอดนิยม: GridPlus Lattice1
-
จุดเด่น:
- หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ระดับ tablet (5 นิ้ว) ยืนยันธุรกรรมได้สะดวก
- รองรับการทำงานร่วมกับ MetaMask ได้โดยตรง
- ออกแบบมาสำหรับ Multisig, dApps และการใช้งานระดับองค์กร
- มีระบบ Secure Enclave สำหรับจัดการ Private Key และ PIN แยกส่วน
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- เหมาะกับนักพัฒนาหรือผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการทำ Multisig หรือ smart contract
- ใช้งานคู่กับ MetaMask ได้อย่างราบรื่น ทั้งบน browser และแอป
- ตัวเครื่องดูพรีเมียม เหมาะกับการใช้งานแบบตั้งโต๊ะ
-
ข้อควรระวัง:
- ขนาดค่อนข้างใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับการพกพา
- ราคาสูงกว่ากระเป๋าเงินทั่วไป
- ยังไม่เหมาะกับมือใหม่ที่เน้นใช้งานง่าย
7. Cypherock
- ประเทศต้นกำเนิด: อินเดีย (India)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2019 (เปิดตัวสินค้าปี 2023)
- รุ่นยอดนิยม: Cypherock X1
-
จุดเด่น:
- ใช้ระบบ ไม่มี Seed Phrase โดยแท้จริง: แบ่ง Private Key ออกเป็น 5 ส่วน (Shamir’s Secret Sharing)
- มาพร้อม “X1 Vault” (เครื่องหลัก) และ “X1 Cards” (การ์ดสำรอง 4 ใบ)
- ไม่มีข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ในจุดเดียว – ลดความเสี่ยงการถูกขโมยหรือทำหายทั้งหมด
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- เหมาะกับผู้ที่กลัวการจัดการ Seed Phrase ผิดพลาด
- การใช้งานผ่านแอป X1 App คล้ายกับ Ledger Live ใช้งานง่าย
- รองรับทั้ง BTC, ETH, และเหรียญ DeFi หลัก ๆ
-
ข้อควรระวัง:
- ถ้าทำการ์ดหลายใบสูญหายพร้อมกัน จะมีความเสี่ยงในการกู้คืน
- ยังเป็นแบรนด์ใหม่ ต้องติดตามเรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์ระยะยาว
8. HASHWallet
- ประเทศต้นกำเนิด: สเปน (Spain)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2019 (เปิดตัวสินค้าปี 2021)
- รุ่นยอดนิยม: HASHWallet Qubic Edition, HASHWallet Elite
-
จุดเด่น:
- มาในรูปแบบ Smartcard แบบ NFC เหมือนบัตรเครดิต
- ฟีเจอร์เด่นคือ ไม่มี Seed Phrase เช่นกัน
- ใช้ระบบการสร้างกุญแจแบบ deterministic โดยไม่เปิดเผย seed ใด ๆ
- มุ่งเน้น User Experience ที่ “ง่ายแต่ปลอดภัย” สำหรับคนทั่วไป
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- ใช้แตะการ์ดกับแอป HASHWallet บนมือถือ Android/iOS ได้ทันที
- ไม่ต้องจัดการ seed หรือสำรองอะไรให้วุ่นวาย
- ดีไซน์พรีเมียม สัมผัสเรียบหรู เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยพร้อม UX เรียบง่าย
-
ข้อควรระวัง:
- ระบบ deterministic key ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยในวงกว้าง → ผู้ใช้ควรศึกษาเพิ่ม
- ต้องพึ่งพาอุปกรณ์และแอปของ HASHWallet โดยเฉพาะ
9. NGRAVE
- ประเทศต้นกำเนิด: เบลเยียม (Belgium)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2018 (เปิดตัวสินค้าปี 2020 ผ่าน Kickstarter)
- รุ่นยอดนิยม: NGRAVE ZERO
-
จุดเด่น:
- อุปกรณ์ Air-gapped 100% เชื่อมต่อผ่าน QR code เท่านั้น
- ใช้ Secure Element ระดับธนาคาร พร้อมระบบเซ็นธุรกรรมแบบ QR
- มีฟีเจอร์ “Perfect Key Generation” สร้าง seed phrase จาก hardware entropy, biometric, และ gesture
- ออกแบบมาสำหรับ ผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดระดับ Ultra Secure
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- หน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ ใช้งานสะดวก
- เชื่อมต่อกับแอป NGRAVE Liquid เพื่อบริหารจัดการพอร์ต
- มีระบบสำรองข้อมูลผ่าน NGRAVE GRAPHENE (แผ่นโลหะแบบกริดสำหรับ backup)
-
ข้อควรระวัง:
- ราคาค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ถือสินทรัพย์มูลค่าสูง
-
ฟีเจอร์เยอะ อาจซับซ้อนสำหรับมือใหม่
10. OPOLO
- ประเทศต้นกำเนิด: ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg)
- เปิดตัวครั้งแรก: ปี 2020 (ผ่าน Kickstarter)
- รุ่นยอดนิยม: OPOLO Cosmos
-
จุดเด่น:
- หน้าจอสัมผัสใหญ่ ขนาด 3.2 นิ้ว ใช้งานคล้ายสมาร์ตโฟน
- รองรับเหรียญกว่า 120 สกุลหลัก และโทเค็นกว่า 200,000 รายการ
- ชิป Secure Element CC EAL6+ พร้อม AES-256 CBC สำหรับการเข้ารหัสการเชื่อมต่อ USB และการสำรองข้อมูล
- รองรับการใช้งานแบบ passphrase และ seed แบบ BIP39
-
ประสบการณ์การใช้งาน:
- ตัวเครื่องดูแข็งแรง ใหญ่ ใช้งานง่ายแม้ไม่มีประสบการณ์มาก
- แอปเดสก์ท็อปเชื่อมต่อผ่าน USB ใช้งานได้ทั้ง Windows/Mac/Linux
- มีการอัปเดต Firmware และฐานข้อมูลเหรียญเป็นประจำ
-
ข้อควรระวัง:
- อุปกรณ์มีขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับพกพา
- ยังไม่รองรับ MetaMask หรือแอปภายนอกมากนัก
🔒 บทสรุป
แม้ Hardware Wallet จะดูคล้ายกันในสายตาคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละแบรนด์มี "จุดยืน" และ "แนวคิด" ที่แตกต่างกันชัดเจน
แบรนด์ใน EP.2 นี้เน้นไปที่ นวัตกรรมและฟีเจอร์ล้ำสมัย ที่สะท้อนถึงความพยายามในการสร้าง “ประสบการณ์ใหม่” ให้กับผู้ใช้งานยุค Web3 โดยบางแบรนด์ลบ Seed Phrase ออกไปเลย, บางแบรนด์ออกแบบให้ใช้งานเหมือนสมาร์ตการ์ด, บางแบรนด์ก็ผสานระบบ Biometric และ Multisig แบบใหม่ที่ไม่ต้อง config เอง
สิ่งสำคัญคือ ไม่มีนวัตกรรมไหนที่ “ดีที่สุดสำหรับทุกคน”แต่มีนวัตกรรมที่ “เหมาะกับความคิดแบบคุณ” เสมอ
✅ ถ้ายังเลือกไม่ได้ ลองเริ่มจากคำถาม 3 ข้อนี้:
-
คุณต้องการ “ความใหม่” มากแค่ไหน?
-
ถ้าคุณอยากลองสิ่งที่แตกต่างจาก Ledger/Trezor → ลอง GridPlus, Cypherock, NGRAVE
-
ถ้าคุณอยากลองสิ่งที่แตกต่างจาก Ledger/Trezor → ลอง GridPlus, Cypherock, NGRAVE
-
คุณโอเคกับ “การไม่มี seed phrase” หรือไม่?
-
ถ้าคุณชอบความเรียบง่าย → Tangem, HASHWallet คือคำตอบ
-
ถ้าคุณชอบความเรียบง่าย → Tangem, HASHWallet คือคำตอบ
-
คุณมองว่า “ฟีเจอร์” สำคัญ หรือ “อิสระในการควบคุม” สำคัญกว่า?
- ถ้าคุณต้องการ UX ที่ลื่นไหล + แอปครบ → CoolWallet, D’CENT
-
ถ้าคุณต้องการโฟกัสไปที่ความปลอดภัยขั้นสูง → NGRAVE, Bitkey
ไม่ว่าคุณจะอยู่สายไหน การเปิดใจให้กับแบรนด์ “นอกกระแส” อาจทำให้คุณค้นพบ Hardware Wallet ที่ “เข้าใจคุณ” และเหมาะสมกับคุณมากกว่าเดิม
[ หากคุณสนใจแบรนด์ Tangem คุณสามารถเลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เช่น Bitcast เพื่อรับประกันสินค้าของแท้ พร้อมการสนับสนุนหลังการขายที่เชื่อถือได้ และมีการรับประกัน 1 ปีเต็ม โดยสามารถคลิกเพื่อดูสินค้าและสั่งซื้อได้ที่นี่ครับ → Bitcast ]
🧭 และหากคุณเป็นสาย Hardcore จริงจังกับความปลอดภัย, การควบคุมแบบ Self-Custody 100%, หรือเป็น Bitcoin Maximalist ที่มองหาอะไรที่ “สุดขั้ว”... 📌 พบกันใน EP.3 แบรนด์สาย Hardcore และ Niche เร็ว ๆ นี้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามซีรีส์นี้ครับ 🙏
หากคุณชื่นชอบเนื้อหานี้ อย่าลืมแชร์บทความเพื่อส่งต่อความรู้ให้เพื่อนของคุณด้วยนะครับ หรือหากคุณมีคำถามหรือแบรนด์ที่อยากให้เรานำเสนอเพิ่มเติม คอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ