ปัญหาโลกแตก iOS vs Android ความปลอดภัยที่ควรรู้ก่อนใช้งานคริปโตผ่านมือถือ

ปัญหาโลกแตก iOS vs Android ความปลอดภัยที่ควรรู้ก่อนใช้งานคริปโตผ่านมือถือ

บทความนี้เกิดจากตัวของแอดเองที่กำลังอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ แล้วแอดมีข้อสงสัยมาตลอดเลยว่า…ถ้าจะเอามาใช้เก็บคริปโตด้วย iOS กับ Android อันไหนปลอดภัยกว่ากันนะ? 

บางคนก็บอกว่า Android ระบบความปลอดภัยสูงมาก บางคนก็บอกว่ายังไง iOS ก็ยืนหนึ่ง

แอดเลยไปหาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันเพื่อเคลียความสงสัยให้ตัวเองและเอามาแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันแบบเข้าใจกันง่าย ๆ 

คำเตือน : แอดไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโทรศัพท์มือถือและบทความนี้ไม่ใช่คำตอบแบบหมอลักษณ์ฟันธง แต่เป็นเพียงข้อมูลที่แอดค้นหามาประกอบการตัดสินใจเพียงเท่านั้น และนำข้อมูลเหล่านี้มาแชร์เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ด้วยครับ ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ และใครมีข้อมูลเสริม ก็มาคุยกันใต้โพสต์ได้เลยนะครับ 

 

1. ระบบปฏิบัติการ: แตกต่างเหมือนกัน

 

iOS – ระบบปิดที่คุมทุกจุด (Close Ecosystem)

ระบบ iOS ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์ไปจนถึงซอฟต์แวร์ Apple ใช้ระบบปิด (closed ecosystem) ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่สามารถติดตั้งแอปนอก App Store ได้ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่มัลแวร์จะแฝงตัวเข้ามาในระบบได้

iOS ทุกแอปต้องได้รับการตรวจสอบและลงนามโค้ดโดย Apple ก่อนที่จะเผยแพร่ ซึ่งเปรียบเสมือนขั้นตอนการกรองความปลอดภัยชั้นแรก นอกจากนี้ iOS ยังมีระบบ Secure Boot ที่ตรวจสอบความถูกต้องของซอฟต์แวร์ตั้งแต่เปิดเครื่อง และมีการเข้ารหัสข้อมูลระดับอุปกรณ์โดยฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง เช่น Secure Enclave ที่ใช้เก็บข้อมูลลับอย่างลายนิ้วมือหรือ Face ID และกุญแจเข้ารหัสต่าง ๆ จุดเด่นเหล่านี้ทำให้ iOS มีฐานความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและยากต่อการถูกเจาะระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

Android – ระบบเปิดที่ยืดหยุ่น แต่ต้องรอบคอบ (Open Ecosystem)

Android เป็นระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สที่เปิดให้ผู้ผลิตและนักพัฒนาภายนอกปรับแต่งได้อย่างอิสระ Android มีระบบการรองรับการยืนยันตัวตนหลายรูปแบบ เช่น รหัสผ่าน, PIN, รูปแบบลากเส้น, ลายนิ้วมือ, ใบหน้า ฯลฯ และการเข้ารหัสข้อมูลทั้งเครื่องเช่นเดียวกับ iOS เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้ในกรณีเครื่องหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้อื่น 

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ Android นั้นมีความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ส่งผลให้ความสม่ำเสมอด้านฮาร์ดแวร์และความปลอดภัยอาจยังไม่เท่ากับฝั่ง iOS และคุณสมบัติความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Trusted Execution Environment (TEE) หรือชิปเข้ารหัสเฉพาะอย่าง Titan M ใน Pixel อาจมีไม่ครบหรือมีประสิทธิภาพต่างกันไปในแต่ละรุ่นของโทรศัพท์ได้ 

ผลต่อการใช้งานคริปโต: สำหรับการเก็บคริปโตและข้อมูลสำคัญ เช่น private key ของ wallet iOS มีชื่อเสียงด้านการเก็บกุญแจเข้ารหัสใน Secure Enclave ซึ่งแอปกระเป๋าเงินสามารถใช้จัดเก็บกุญแจส่วนตัวได้อย่างปลอดภัย กุญแจจะไม่ถูกเปิดเผยให้ออกจากฮาร์ดแวร์ง่าย ๆ ในขณะที่ Android ก็มี Android Keystore ที่ใช้ TEE เก็บกุญแจ แต่ความแข็งแกร่งขึ้นกับฮาร์ดแวร์ของเครื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ iOS เป็นระบบปิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ดัดแปลงที่อาจมีช่องโหว่ เหมือนกับ Android ที่สามารถปรับแต่งเองได้ จึงทำให้ช่วยลดความเสี่ยงได้โดยปริยาย 

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง iOS และ Android ต่างก็มีช่องโหว่ศูนย์วัน (zero-day) ที่อาจถูกค้นพบและใช้โจมตีได้ ดังที่เคยเกิดกรณีสปายแวร์ระดับสูงโจมตี iOS ผ่านช่องโหว่ใน iMessage หรือ WebKit โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกลิงก์ใด ๆ (zero-click exploit) แม้ Apple และ Google จะออกแพตช์แก้ไขได้รวดเร็ว แต่เหตุการณ์เหล่านี้เตือนเราว่าไม่มีระบบใด “ปลอดภัย 100%”

 

 

2. มัลแวร์และไวรัส : Android มักตกเป็นจำเลยสังคม

 

iOS – มีมัลแวร์น้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี

ด้วยความที่ iOS ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปนอก App Store (ยกเว้นการเจลเบรก) ทำให้เหตุการณ์ที่ผู้ใช้ดาวน์โหลดไวรัสหรือมัลแวร์โดยตรงบน iPhone/iPad เกิดขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับ Android 

Apple มีขั้นตอนการตรวจสอบแอปอย่างเข้มงวดก่อนอนุมัติขึ้น App Store และยังมีฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวที่แจ้งเตือนพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของแอป เช่น การขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีเหตุผล สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบนิเวศ iOS ค่อนข้างเจอความเสี่ยงได้น้อยกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม มีกรณีตัวอย่างที่ชี้ว่า iOS เองก็ไม่ปลอดภัยเสมอไป เช่น เหตุการณ์ในปี 2021 ที่มีแอป Trezor ปลอมปรากฏบน App Store ซึ่งเลียนแบบแอปกระเป๋าฮาร์ดแวร์ Trezor ทำให้ผู้ใช้งงคิดว่าเป็นแอปจริงและกรอกข้อมูลกระเป๋าสตางค์ ส่งผลให้ Bitcoin มูลค่ากว่า $600,000 ถูกขโมยไปจากผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่ง แม้ Apple จะแก้ไขโดยนำแอปดังกล่าวออกและย้ำว่าระบบตรวจสอบของตนเข้มงวด แต่กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าแอปหลอกลวงสามารถหลุดรอดเข้ามาได้เช่นกัน

 

Android – ถูกโจมตีมากที่สุดในโลกมือถือ

ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ (อุปกรณ์มือถือกว่า 80% ทั่วโลกใช้ Android) และความเปิดกว้างของแพลตฟอร์ม ทำให้ Android ตกเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรไซเบอร์ เกือบ 100% ของมัลแวร์บนมือถือที่พบในปัจจุบันพุ่งเป้ามาที่ Android เช่น รายงานด้านความปลอดภัยระบุว่ากว่า 98% ของการโจมตีธนาคารบนมือถือ (mobile banking malware) ล้วนมุ่งโจมตีอุปกรณ์ Android ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Android อนุญาตให้ติดตั้งแอปจากแหล่งอื่นนอกเหนือจาก Google Play Store ได้อย่างง่ายดาย และผู้ใช้บางส่วนก็มักดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง (APK) จากอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจแฝงมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว 

นอกจากนี้ Google Play Store เองแม้จะมีระบบตรวจสอบ (Google Play Protect) แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ที่แอปอันตรายเล็ดลอดขึ้นไปบนสโตร์ได้เช่นกัน ตัวอย่างคือแอป Trezor ปลอมในฝั่ง Android ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 1,000 ครั้งก่อนที่จะถูกเตือนจากผู้พัฒนาและสื่อสารมวลชนว่าเป็นแอปหลอกลวง  ผู้ใช้ Android ยังเผชิญกับภัยอย่างโทรจันดัก Clipboard ที่คอยเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าคริปโตที่ผู้ใช้คัดลอกเป็นของคนร้าย หรือมัลแวร์ที่ใช้บริการการเข้าถึง (Accessibility Service) เพื่อควบคุมหน้าจอและขโมยข้อมูล ซึ่งมักพบมากใน Android เพราะระบบเปิดให้แอปภายนอกขอสิทธิ์เหล่านี้ได้ 

แนวโน้มในปัจจุบัน ทั้ง Apple และ Google ต่างปรับปรุงการป้องกันมัลแวร์อยู่เสมอ ฝั่ง Android มีการอัปเดต Google Play Protect ให้สแกนแอปและอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง และจำกัดการใช้งาน API บางอย่างที่เสี่ยง เช่น การเข้าถึง SMS/ประวัติการโทรจะอนุญาตเฉพาะแอปประเภทที่จำเป็น ส่วน Apple ก็เพิ่มฟีเจอร์ Lockdown Mode สำหรับกลุ่มผู้ใช้ความเสี่ยงสูง เพื่อปิดกั้นจุดโจมตีที่อาจถูกสปายแวร์ใช้ รวมถึงในอนาคตอันใกล้ (ตามกฎหมาย Digital Markets Act ของ EU) Apple อาจต้องยอมให้มีการ sideloading หรือลงแอปจากแหล่งอื่นในบางภูมิภาค ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหม่ต่อระบบความปลอดภัย iOS ด้วยเช่นกัน

 

 

3. การควบคุมสิทธิ์แอป : iOS ชัดเจนกว่า แต่ Android ก็พัฒนาเช่นกัน

 

iOS – บังคับให้โปร่งใสตั้งแต่ต้น

iOS มีโมเดลการขอสิทธิ์ที่ชัดเจนและแยกตามประเภทข้อมูล ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อแอปต้องการเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันสำคัญ เช่น ตำแหน่ง, รูปภาพ, กล้อง, ไมโครโฟน, รายชื่อ เป็นต้น ผู้ใช้สามารถเลือกอนุญาตหรือปฏิเสธเป็นรายรายการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการอนุญาตย้อนหลังได้ตลอดผ่านเมนูการตั้งค่า ความเข้มงวดนี้ทำให้แอปไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือฮาร์ดแวร์โดยพลการ หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ iOS 14 เป็นต้นมา Apple ยังเพิ่มฟีเจอร์แจ้งเตือนการเข้าถึง clipboard, ไอคอนแสดงสถานะเมื่อมีการใช้กล้อง/ไมค์ และ App Privacy Report ที่สรุปว่าแต่ละแอปเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบพฤติกรรมแอปได้ โปร่งใสมากขึ้น

 

Android – เริ่มมีการพัฒนาที่เร็วมากในรุ่นใหม่ ๆ 

แต่เดิม Android เคยถูกวิจารณ์ว่าระบบสิทธิ์อนุญาตไม่ละเอียดเท่าที่ควร โดยเฉพาะก่อน Android 6.0 Marshmallow ที่ผู้ใช้ต้องให้สิทธิ์ทั้งหมดตอนติดตั้งแอป โดยไม่สามารถเลือกเป็นรายหัวข้อได้ แต่ในปัจจุบัน Android รุ่นใหม่ๆ ได้นำระบบ runtime permission แบบเดียวกับ iOS มาใช้ ผู้ใช้จะถูกถามเมื่อตอนแอปต้องการใช้งานสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแรก และสามารถปรับสิทธิ์ย้อนหลังได้จาก settings เช่นกัน   

นอกจากนี้ Android ยังมีการจัดกลุ่ม permission ตามความอันตราย เช่น Dangerous Permissions ได้แก่กลุ่มที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวหรือการควบคุมอุปกรณ์ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใช้เท่านั้น ถึงแม้โครงสร้างการจัดการสิทธิ์ของ Android ในอดีตจะเคยหละหลวมกว่า iOS แต่ในเวอร์ชันหลัง ๆ ก็มีการปรับปรุงให้เข้มงวดและให้ผู้ใช้ควบคุมได้มากขึ้น เพื่อปิดจุดอ่อนด้านความเป็นส่วนตัวได้ 

แต่อย่างไรก็ดี ความแตกต่างยังมีอยู่บ้าง เช่น Android อนุญาตให้ผู้ใช้ ติดตั้งแอปนอก Store ได้ด้วยการเปิดสิทธิ์ “ติดตั้งแอปที่ไม่รู้จัก” ให้กับแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น เบราว์เซอร์ ฟีเจอร์นี้ถ้ามองในแง่ความปลอดภัยถือเป็นดาบสองคม  ด้านหนึ่งให้ความยืดหยุ่น แต่อีกด้านเปิดช่องให้ติดตั้งมัลแวร์ถ้าผู้ใช้ไม่ระมัดระวัง ส่วน iOS ไม่มีตัวเลือกนี้ (ยกเว้นเครื่องเจลเบรก) ซึ่งลดโอกาสเจอแอปไม่พึงประสงค์โดยปริยาย 

นอกจากนี้ Android ยังมีสิทธิ์พิเศษบางอย่างที่ไม่มีบน iOS เช่น Accessibility Service, การทำงานหน้าจอซ้อน (overlay) หรือการเข้าถึง SMS/บันทึกสายโทรศัพท์ ซึ่งแม้จะควบคุมได้ระดับหนึ่งแต่ก็ถูกมัลแวร์บางประเภทใช้เป็นช่องทางโจมตีผู้ใช้มาบ่อยครั้ง ผู้ใช้ Android จึงจำเป็นต้องใส่ใจสิทธิ์ที่แอปขอตอนติดตั้งหรือขณะใช้งานเป็นพิเศษ หากแอปใดขอสิทธิ์เกินจำเป็น เช่น แอปเครื่องคิดเลขแต่ขอสิทธิ์อ่านรายชื่อติดต่อหรือ SMS ก็ควรหลีกเลี่ยง

บทสรุปการจัดการสิทธิ์ : โดยรวมแล้ว ทั้ง iOS และ Android ในปัจจุบันให้ความสามารถผู้ใช้ในการควบคุมสิทธิ์แอปอย่างละเอียด หากผู้ใช้สละเวลาตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอและตั้งค่าอย่างเหมาะสม ก็จะลดความเสี่ยงจากแอปไม่พึงประสงค์ได้มาก ไม่ว่าจะใช้ระบบใดก็ตาม

 

 

4. การอัปเดตระบบ : อัพไวกว่า ปลอดภัยก่อน

 

iOS – อัพเดตทั่วถึงและรวดเร็ว

Apple มีการดูแลอุปกรณ์ของตนเองแบบครบวงจร ทำให้เมื่อมีการอัปเดต iOS รุ่นใหม่หรือแพตช์ความปลอดภัยถูกปล่อยออกมา ผู้ใช้ทุกคนที่มีอุปกรณ์รุ่นที่ยังอยู่ในช่วงซัพพอร์ตจะได้รับพร้อมกันทั่วโลก การจัดการแบบรวมศูนย์นี้ช่วยให้การอุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทำได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม เช่น เมื่อค้นพบช่องโหว่ Zero-day Apple ก็ออกอัปเดตฉุกเฉิน เช่น Rapid Security Response ใน iOS 16/17 ภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ และกระตุ้นให้ผู้ใช้ติดตั้งทันที 

อุปกรณ์ iOS ยังขึ้นชื่อเรื่องการได้รับอัปเดตยาวนานหลายปี iPhone รุ่นเก่าบางรุ่นได้รับการอัปเดตนาน 5-6 ปีหลังจากเปิดตัว ทำให้ผู้ใช้ยังคงได้รับแพตช์ความปลอดภัยแม้เครื่องมีอายุมากแล้ว ข้อดีนี้ลดความเสี่ยงที่เครื่องรุ่นเก่าจะตกเป็นเหยื่อช่องโหว่ที่ถูกค้นพบใหม่ ๆ เพราะได้รับการป้องกันตลอดการใช้งาน

 

Android – ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและผลิตภัณฑ์

ในฝั่งของ Android สถานการณ์การอัปเดตซับซ้อนกว่าเนื่องจากมีผู้ผลิตหลายรายและหลากหลายรุ่นกระบวนการอัปเดต Android จึงขึ้นกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการเครือข่ายของอุปกรณ์แต่ละรุ่น บ่อยครั้งที่แพตช์ความปลอดภัยหรือเวอร์ชันใหม่ของ Android ถูกปล่อยล่าช้าหรือไม่มาถึงอุปกรณ์บางรุ่นเลย โดยเฉพาะรุ่นราคาประหยัดหรือรุ่นที่ตกรุ่นเร็ว ผู้ใช้ Android จำนวนไม่น้อยจึงใช้งานบนระบบที่แพตช์ไม่ทันสมัย ทำให้มีช่องโหว่ที่อาจเกิดอันตรายได้ 

การรับมือภัยคุกคามใหม่ : เนื่องจากผู้ไม่หวังดีค้นหาช่องทางใหม่ ๆ ในการโจมตีเสมอ การมีระบบที่อัปเดตสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก ตัวอย่างภัยคุกคามล่าสุดเช่น มัลแวร์เรียกค่าไถ่บนมือถือ หรือ สปายแวร์รัฐชาติ (อย่าง Pegasus) ล้วนต้องการช่องโหว่ที่ยังไม่ถูกปิดเพื่อทำงาน ผู้ใช้ iOS ที่อัปเดตเครื่องตลอดจึงมักจะปลอดภัยจากภัยเหล่านี้เร็วกว่า ในขณะที่ฝั่ง Android หากไม่ได้รับแพตช์ก็ต้องพึ่งพาวิธีแก้ขัดอย่างการติดตั้งแอปรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง (ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รากฐาน) อย่างไรก็ตาม Google ก็มีระบบอัปเดตความปลอดภัยผ่าน Google Play Services ที่ส่งตรงให้ผู้ใช้บางส่วนได้ โดยไม่ต้องรอเฟิร์มแวร์จากผู้ผลิต ในแง่การรับมือภัยใหม่ ๆ ทั้งสองค่ายต่างก็ลงทุนในทีมรักษาความปลอดภัยที่ค้นคว้าและแจกรางวัลให้กับนักวิจัยที่พบช่องโหว่ เพื่อให้ทราบปัญหาและแก้ไขก่อนจะถูกโจมตีจริง

 

 

ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ทั่วไปควรทราบในการใช้มือถือสำหรับคริปโต

แม้ระบบปฏิบัติการจะมีบทบาทสำคัญ แต่ ปัจจัยสำคัญที่สุดยังคงเป็นตัวผู้ใช้ ที่ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัยในการใช้งานคริปโตบนมือถือ ความเสี่ยงหลักที่มักพบได้บ่อย ได้แก่

การติดตั้งแอปปลอม/แอปไม่พึงประสงค์ : ทั้ง iOS และ Android เคยมีกรณีแอปกระเป๋าสตางค์ปลอมหรือแอปหลอกลวงที่หลุดรอดขึ้น Store มาแล้ว ผู้ใช้จึงควรระมัดระวังในการดาวน์โหลดแอป ควรใช้เฉพาะแอปกระเป๋าเงินหรือแอปแลกเปลี่ยนที่เป็นทางการ ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนา จำนวนรีวิว และข้อมูลอื่น ๆ ให้แน่ใจว่าเป็นแอปจริง นอกจากนี้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปนอก Store (บน Android) ยกเว้นกรณีที่มั่นใจจริง ๆ และจำเป็นต้องทำ

การโจมตีแบบฟิชชิง (Phishing) : อาชญากรมักใช้วิธีหลอกให้เหยื่อเปิดลิงก์ที่ดูเหมือนเป็นเว็บหรือแอปจริง แล้วขโมยข้อมูลล็อกอินหรือ seed phrase ไป ผู้ใช้ควรระวังอย่าคลิกลิงก์ที่ส่งมาทางข้อความหรืออีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ และจำไว้เสมอว่า “ไม่มีผู้ให้บริการคนไหนจะมาขอ seed phrase หรือ private key จากคุณเป็นอันขาด” 

มัลแวร์ขโมยข้อมูล : โดยเฉพาะบน Android มีมัลแวร์หลายตัวที่ออกแบบมาโจมตีผู้ใช้คริปโต เช่น มัลแวร์ที่ดักคีย์บอร์ด บันทึกหน้าจอ หรือเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าสตางค์ในคลิปบอร์ด การติดมัลแวร์เหล่านี้มักมาจากการลงแอปเถื่อนหรือเข้าเว็บที่ฝังโค้ดอันตราย ดังนั้นควรมีแอปแอนตี้ไวรัสที่น่าเชื่อถือไว้ในเครื่อง Android และทำการสแกนเป็นระยะ รวมถึงหลีกเลี่ยงการรูทเครื่องหรือเจลเบรก

การป้องกันอุปกรณ์สูญหาย : โทรศัพท์มือถือที่ใช้เป็นกระเป๋าเงินหากสูญหายหรือโดนขโมย ย่อมเสี่ยงที่คนอื่นจะเข้าถึงคริปโตของเรา ทั้ง iOS และ Android จึงควรตั้งระบบล็อกเครื่องที่แข็งแรง เช่น รหัสผ่านหรือ PIN 6 หลักขึ้นไป, เปิดใช้งานลายนิ้วมือ/Face ID, และเปิดใช้งานฟีเจอร์ค้นหาเครื่องหรือสั่งลบข้อมูลระยะไกล (Find My iPhone / Find My Device) ไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

การเก็บ Seed Phrase : Seed phrase หรือชุดคำสำหรับกู้คืนกระเป๋าสตางค์ ไม่ควรเก็บไว้ในโทรศัพท์อย่างยิ่ง ผู้ใช้หลายคนอาจถ่ายรูปหรือบันทึกโน้ตไว้ในเครื่อง แต่หากเครื่องติดมัลแวร์หรือมีผู้เข้าถึงได้ ข้อมูลนี้จะถูกขโมยไปได้ง่าย เพื่อความปลอดภัย ควรจดลงบนกระดาษหรือสื่อออฟไลน์อื่น ๆ และเก็บในที่ปลอดภัย

ความผิดพลาดของผู้ใช้เอง : เช่น การส่งคริปโตไปยังที่อยู่ผิด(เพราะโดนมัลแวร์เปลี่ยน หรือ copy ผิด) ซึ่งธุรกรรมคริปโตมักย้อนกลับไม่ได้, การเผลอให้สิทธิ์แอป DeFi หรือ dApp เข้าถึงกระเป๋ามากเกินไป, หรือแม้แต่การเผลอคลิกลิงก์ปลอมต่าง ๆ ดังนั้นผู้ใช้ควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษเมื่อทำธุรกรรม ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้ง, ใช้การยืนยันหลายขั้นตอน (เช่น 2FA ผ่านแอป Authenticator) ร่วมด้วย และเริ่มต้นโอนด้วยจำนวนเล็กน้อยก่อนหากไม่แน่ใจ

 

ข้อดีและข้อเสียด้านความปลอดภัยของแต่ละระบบ

 

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถสรุป จุดแข็ง-จุดอ่อน ของ iOS และ Android ในบริบทความปลอดภัยสำหรับการใช้งานคริปโต ได้ดังนี้

 

iOS

ข้อดี

ระบบปิดและการควบคุมแอปเข้มงวด : iOS ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปนอก App Store ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับมัลแวร์และแอปอันตรายได้น้อยกว่า ผู้ใช้ทั่วไปจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าจากการดาวน์โหลดแอปที่ไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ Apple มีระบบตรวจสอบแอปก่อนขึ้น Store ที่เข้มงวด ลดจำนวนแอปไม่ปลอดภัยลงอย่างมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มเปิด

อัปเดตความปลอดภัยรวดเร็วและยาวนาน : Apple ปล่อยอัปเดต iOS พร้อมกันแก่ผู้ใช้ทั่วโลก และสนับสนุนอุปกรณ์เก่านานหลายปี ทำให้อุดช่องโหว่ได้อย่างทันท่วงทีและครอบคลุม เครื่องของผู้ใช้มีแนวโน้มได้รับการป้องกันช่องโหว่ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ฮาร์ดแวร์ความปลอดภัยเฉพาะ (Secure Enclave): iPhone ทุกรุ่นมาพร้อม Secure Enclave ซึ่งปกป้องข้อมูลลับ เช่น ลายนิ้วมือ, Face ID, กุญแจเข้ารหัสในระดับฮาร์ดแวร์ แยกจากระบบปฏิบัติการ ทำให้ต่อให้ระบบปฏิบัติการถูกเจาะ ข้อมูลสำคัญก็ยังเข้าถึงได้ยากมาก

การออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัย : iOS มี sandbox ที่แข็งแกร่งสำหรับทุกแอป, มีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งเครื่องโดยอัตโนมัติ, ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว (เช่น การแจ้งเตือนการใช้กล้อง/ไมค์) และค่าเริ่มต้นหลายอย่างที่ปลอดภัย (secure-by-default) เหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญเทคนิคก็ยังปลอดภัยได้

 

ข้อเสีย

ขาดความยืดหยุ่นและการตรวจสอบจากชุมชน : เนื่องจาก iOS เป็นระบบปิด ซอร์สโค้ดส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ผู้ใช้หรือชุมชนไม่สามารถตรวจสอบการทำงานภายในได้ละเอียดเหมือน Android บางคนมองว่านี่อาจทำให้ต้อง “เชื่อใจ” Apple ในการดูแลความปลอดภัยทั้งหมด (ซึ่ง Apple ก็เคยพลาดเช่นกรณีแอปปลอมดังกล่าว) อีกทั้งการไม่เปิดให้ sideloading ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการแอปนอกเหนือจากที่ Apple อนุมัติทำได้ยาก

ตกเป็นเป้าของการโจมตีระดับสูง: iOS แม้มัลแวร์ทั่ว ๆ ไปจะเจอน้อย แต่กลับเป็นเป้าหมายของการโจมตีเจาะจงระดับสูง เช่น สปายแวร์ Pegasus เพราะมูลค่าของข้อมูลผู้ใช้ iPhone มักสูง กลุ่มผู้ใช้ระดับผู้นำหรือองค์กรใหญ่ใช้อุปกรณ์ Apple เยอะ ส่งผลให้มีการพัฒนา exploit ขั้นสูงมาโจมตี iOS อยู่เรื่อย ๆ (แม้ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้รับผลกระทบนี้มากนัก)

การเจลเบรกทำให้ความปลอดภัยลดลงมาก : หากผู้ใช้ทำการเจลเบรกเครื่องเพื่อติดตั้งแอปเถื่อนหรือปรับแต่งระบบ ความปลอดภัยของ iOS จะลดลงอย่างมาก เพราะกลไก sandbox และการตรวจสอบต่าง ๆ ถูกปลดล็อกไป ส่งผลให้ iPhone ที่เจลเบรกมีความเสี่ยงใกล้เคียงหรือมากกว่า Android เครื่องที่รูทโดยไม่มีการป้องกัน

 

Android

ข้อดี

ความยืดหยุ่นและทางเลือกหลากหลาย : ผู้ใช้ Android มีอิสระในการติดตั้งแอปจากนอก Play Store เมื่อจำเป็น มีหลายช่องทางให้เลือกใช้ (เช่น F-Droid สำหรับแอปโอเพนซอร์ส) และสามารถปรับแต่งระบบได้ลึกกว่า iOS สำหรับผู้ใช้งานขั้นสูง นอกจากนี้ยังมีรอมทางเลือกที่เน้นความปลอดภัย/ความเป็นส่วนตัว (เช่น GrapheneOS, LineageOS) สำหรับผู้ที่ต้องการความคุมเข้มเฉพาะทาง

การตรวจสอบโดยชุมชน (Open Source) : แกนหลักของ Android (AOSP) เป็นโอเพนซอร์ส ทำให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด ตรวจสอบช่องโหว่ และแจ้งแก้ไขได้ โปรเจ็กต์ความปลอดภัยหลายอย่าง (เช่น GrapheneOS) ได้ใช้พื้นฐาน Android มาปรับปรุงความปลอดภัยให้แข็งแกร่งขึ้น ความเปิดกว้างนี้ช่วยให้มีการค้นหาช่องโหว่และแก้ไขเร็วในบางกรณี และลดความกังวลเรื่อง “backdoor ลับ” ที่อาจมีในซอฟต์แวร์ปิด

เครื่องมือความปลอดภัยจาก Google และผู้ผลิต : Android สมัยใหม่มี Google Play Protect คอยสแกนมัลแวร์ทั้งในเครื่องและบนคลาวด์   นอกจากนี้ผู้ผลิตหลายเจ้ามีโซลูชั่นเสริม เช่น Samsung Knox ที่เพิ่มความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์, ระบบยืนยัน SafetyNet/Play Integrity ที่ช่วยแจ้งให้แอปรู้ว่าเครื่องผ่านการรูทหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งหากใช้งานร่วมกันอย่างถูกต้อง จะเสริมความมั่นใจในการใช้งานแอปการเงิน/คริปโตบน Android ได้มากขึ้น

มีอุปกรณ์ให้เลือกหลายระดับราคา : ผู้ใช้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ Android ระดับเรือธงที่มาพร้อมชิปความปลอดภัยเฉพาะทาง (เช่น Titan M บน Pixel) และรับอัปเดตยาวนาน ในราคาที่อาจถูกกว่า iPhone ในระดับสเปกใกล้เคียงกัน ทำให้การเข้าถึงความปลอดภัยไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่จ่ายแพงเสมอไป

 

ข้อเสีย

ความเสี่ยงจากมัลแวร์สูงกว่า : อย่างที่กล่าวไป Android เผชิญกับมัลแวร์จำนวนมหาศาลบนโลกออนไลน์ แอปบน Play Store เองก็มีโอกาสแฝงของไม่ดีได้มากกว่า (ด้วยจำนวนแอปที่เยอะและการกลั่นกรองที่ยืดหยุ่นกว่า Apple) และการที่ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจากภายนอกได้ง่ายก็เพิ่มโอกาสรับมัลแวร์โดยไม่ตั้งใจมากกว่า iOS หลายเท่า

แพตช์ความปลอดภัยไม่สม่ำเสมอ : ปัญหา fragmentation ที่แต่ละยี่ห้อปล่อยอัปเดตไม่พร้อมกัน ทำให้อุปกรณ์ Android จำนวนมากไม่ได้รับการอุดช่องโหว่ตรงเวลา หากซื้อรุ่นที่ผู้ผลิตไม่น่าเชื่อถือ ผู้ใช้อาจเสี่ยงจากช่องโหว่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นปีๆ เช่น ช่องโหว่บน Android รุ่นเก่าที่ยังอยู่เพราะไม่ได้รับแพตช์ ซึ่งต่างจากอุปกรณ์ iOS ที่แพตช์จะมาพร้อมกัน

มาตรฐานฮาร์ดแวร์ไม่เท่ากัน : Android บางรุ่นไม่มีชิปความปลอดภัยเฉพาะหรือไม่มีเซ็นเซอร์ไบโอเมตริกซ์ที่แม่นยำ เทียบกับ iPhone ที่ทุกรุ่นใหม่มี Face ID/Touch ID ที่ปลอดภัย กรณีอุปกรณ์ Android ราคาถูกหรือเก่า ผู้ใช้จึงต้องพึ่ง PIN/รหัสผ่านที่คาดเดายากเพื่อความปลอดภัย เพราะลายนิ้วมือหรือการปลดล็อกใบหน้าอาจไม่แน่นหนาพอ เช่น การปลดล็อกด้วยใบหน้าที่เป็นแค่กล้อง 2D ซึ่งหลอกได้ด้วยรูปภาพ

ความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป : ด้วยความยืดหยุ่นสูง ผู้ใช้ Android ต้องอาศัยความรู้และความรอบคอบมากขึ้นในการรักษาความปลอดภัยตนเอง เช่น ต้องหมั่นตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ, ติดตั้งแอนตี้ไวรัส, ระวังไฟล์ .apk ที่โหลดมา เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปบางส่วนอาจไม่ทำให้เคร่งครัด จึงเกิดความเสี่ยงจาก “ความผิดพลาดของมนุษย์” ได้มากกว่า

 

บทสรุป

ไม่มีระบบใดที่ “ปลอดภัยสมบูรณ์” โดยปราศจากเงื่อนไข ทั้ง iOS และ Android ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนเฉพาะตัว ไม่มีแพลตฟอร์มไหนปลอดภัยกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ความปลอดภัยที่แท้จริงขึ้นอยู่กับบริบทการใช้งาน ผู้ใช้ และการตั้งค่าต่าง ๆ ของอุปกรณ์มากกว่า   iOS อาจให้ความอุ่นใจ “จากค่าโรงงาน” มากกว่าเล็กน้อยด้วยข้อจำกัดที่ป้องกันข้อผิดพลาดของผู้ใช้ แต่ Android ก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มีความรู้ปรับแต่งเสริมความปลอดภัยเองได้มากกว่า

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการจัดการ cryptocurrency บนมือถือ สิ่งที่ควรทำคือ ยึดเอาหลักการรักษาความปลอดภัยพื้นฐานให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะใช้ระบบใดก็ตาม ได้แก่ ใช้รหัสผ่าน/PIN ที่เดายากและไม่ซ้ำกัน, เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) ในทุกบริการที่รองรับ, อัปเดตระบบและแอปสม่ำเสมอ, ดาวน์โหลดแอปคริปโตจากแหล่งที่ปลอดภัยเท่านั้น, ไม่เก็บข้อมูลสำคัญอย่าง seed phrase ไว้ในเครื่อง, และไม่ประมาทกับลิงก์หรือไฟล์ที่ได้รับทางอินเทอร์เน็ต การเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยจึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่จะทำให้ทั้งผู้ใช้งานสามารถจัดการทรัพย์สินดิจิทัลของตนได้อย่างมั่นใจ

สรุปส่งท้าย ทั้งระบบ iOS และ Android นั้นล้วนมีความปลอดภัยที่สูงมาก ๆ ด้วยกันทั้งคู่ แค่อาจจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันในรายละเอียด ซึ่งสิ่งที่ผู้ใช้อย่างพวกเราควรระวัง ไม่ว่าเราจะใช้ระบบปฏิบัติการแบบไหน เราต่างต้องมีความรอบคอบในการใช้งานให้มากครับ

แอดหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ เพราะ แอดหาข้อมูลเองก็ได้รู้อะไรใหม่ ๆ มากขึ้นมาก ๆ ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีอะไรเพิ่มเติม สามารถแชร์กันได้เลยนะครับ แอดอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันความรู้กันนะครับ //แอดที🟠

 

ถ้าใครยังลังเลไม่รู้จะใช้มือถือรุ่นไหน แบบไหน แอดมีแนะนำตัวนี้เลยครับ

Foundation Passport Batch 2 Hardware Wallet – โทรศัพท์อาม่า สำหรับผู้ใช้บิทคอยน์บนมือถือ

เป็น Hardware Wallet แบบ air-gapped (ตัดขาดจากอินเทอร์เน็ต) ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับการเก็บรักษาบิทคอยน์ด้วยตนเอง ด้วยการทำงานแบบออฟไลน์ทั้งหมด โดยใช้การสื่อสารผ่าน QR code เท่านั้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีออนไลน์อย่างมาก เฟิร์มแวร์และฮาร์ดแวร์ทั้งหมดเป็นโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ เปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้

Passport Batch 2 ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Envoy ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นเสริมสำหรับสมาร์ทโฟน วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถตั้งค่า ทำธุรกรรม และจัดการ Hardware Wallet ของคุณได้โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์

การสร้างระดับพรีเมียม นี้มาพร้อมกับจอแสดงผลสีความละเอียดสูง ปุ่มกดแบบสัมผัสได้ และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Nokia BL-5C แบบถอดเปลี่ยนได้ ตัวเครื่องที่ทำจากโลหะแข็งและจอแสดงผลแบบกระจกมีความทนทานและความสวยงาม 

รายละเอียด คลิกเลย FoundationPassport-Bitcast

กลับไปยังบล็อก

แสดงความคิดเห็น

โปรดทราบว่าความคิดเห็นจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะได้รับการเผยแพร่