ในโลกของคริปโตเคอร์เรนซีและความปลอดภัยดิจิทัล มีสองแนวคิดสำคัญที่มักถูกนำมาพูดถึงบ่อยครั้งเมื่อเราต้องจัดการกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย นั่นคือ Shamir's Secret Sharing (SSS) และ Multi-Signature Wallets (กระเป๋าเงิน Multi-sig) ทั้งสองวิธีนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงสินทรัพย์ แต่ทำงานบนหลักการที่แตกต่างกัน บทความนี้จะมาอธิบายให้คุณเข้าใจอย่างง่าย ๆ ว่าแต่ละวิธีคืออะไร และแตกต่างกันอย่างไรครับ

Shamir's Secret Sharing (SSS) คืออะไร?

ลองจินตนาการว่าคุณมีกุญแจสำคัญ (Secret) ที่ใช้เปิดเซฟที่มีทรัพย์สินอันมีค่าของคุณ แต่คุณกลัวว่าถ้ากุญแจนี้หายไป หรือมีคนขโมยไป คุณจะสูญเสียทุกอย่าง Shamir's Secret Sharing หรือ SSS คือเทคนิคที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

Bitcast

SSS เป็นอัลกอริทึมเข้ารหัสลับที่ออกแบบมาเพื่อแบ่ง "ความลับ" (เช่น กุญแจส่วนตัวของกระเป๋าคริปโต) ออกเป็นหลาย ๆ ส่วน หรือที่เรียกว่า "ชิ้นส่วน" (Shares) หลักการสำคัญของ SSS คือ

  • แบ่งเป็นหลายส่วน: คุณสามารถแบ่งความลับออกเป็นกี่ชิ้นส่วนก็ได้ เช่น 3 ชิ้น, 5 ชิ้น หรือมากกว่านั้น
  • ต้องการจำนวนขั้นต่ำเพื่อกู้คืน: สิ่งที่น่าสนใจคือ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ทุกชิ้นส่วนเพื่อกู้คืนความลับ คุณสามารถกำหนด "จำนวนขั้นต่ำ" (Threshold) ที่จำเป็น เช่น ถ้าคุณแบ่งความลับออกเป็น 5 ชิ้นส่วน คุณอาจกำหนดว่าต้องใช้เพียง 3 ชิ้นส่วนใด ๆ ก็ได้เพื่อกู้คืนความลับนั้น
  • ชิ้นส่วนแต่ละอันไม่มีความหมายในตัวมันเอง: ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่ถูกแบ่งออกมาจะไม่มีความหมายใด ๆ ด้วยตัวมันเอง ทำให้แม้ว่าจะมีคนได้ชิ้นส่วนไปหนึ่งหรือสองชิ้น แต่ไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำที่กำหนด ก็ไม่สามารถกู้คืนความลับได้

ตัวอย่าง: คุณมี Private Key ของ Bitcoin Wallet ที่ต้องการปกป้อง คุณใช้ SSS แบ่ง Private Key ออกเป็น 5 ชิ้นส่วน และตั้งค่าให้ต้องใช้ 3 ใน 5 ชิ้นส่วนเพื่อกู้คืน คุณอาจจะเก็บชิ้นส่วนที่ 1 ไว้กับตัวเอง, ชิ้นส่วนที่ 2 ให้กับเพื่อนสนิท, ชิ้นส่วนที่ 3 ให้กับทนายความ, ชิ้นส่วนที่ 4 ไว้ในตู้เซฟที่ธนาคาร และชิ้นส่วนที่ 5 เก็บไว้ที่บ้านพ่อแม่ หากคุณต้องการเข้าถึง Private Key คุณเพียงแค่รวบรวมชิ้นส่วน 3 ชิ้นใด ๆ มาประกอบกัน

Multi-Signature Wallets (กระเป๋าเงิน Multi-sig) คืออะไร?

Multi-Signature Wallets หรือกระเป๋าเงิน Multi-sig คือกระเป๋าเงินคริปโตที่ต้องการการลงนาม (Signature) จากหลายบุคคลหรือหลายคีย์เพื่ออนุมัติการทำธุรกรรม หลักการทำงานของ Multi-sig คล้ายกับการทำธุรกรรมทางการเงินที่ต้องมีผู้บริหารหลายคนเซ็นอนุมัติ

Bitcast

  • ต้องการหลายลายเซ็น: แทนที่จะใช้ Private Key เพียงอันเดียวในการอนุมัติธุรกรรม Multi-sig Wallet จะกำหนดว่าต้องมีลายเซ็นจาก Private Key หลายอันจึงจะสามารถอนุมัติธุรกรรมได้
  • กำหนดจำนวนที่ต้องการ: คุณสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องใช้ลายเซ็นกี่อันจากทั้งหมดกี่อัน เช่น "2-of-3 Multi-sig" หมายความว่าต้องมี 2 ลายเซ็นจาก Private Key ทั้งหมด 3 อันจึงจะอนุมัติธุรกรรมได้
  • เพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง: Multi-sig มีประโยชน์อย่างมากในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับเงินทุนของคุณ หาก Private Key หนึ่งอันถูกขโมย หรือบุคคลหนึ่งเสียชีวิต ก็ยังไม่สามารถควบคุมเงินทั้งหมดได้

ตัวอย่าง: คุณมีบริษัทที่ต้องการเก็บเงินทุนไว้ใน Bitcoin แต่ไม่อยากให้ผู้บริหารคนใดคนหนึ่งสามารถนำเงินออกไปได้โดยพลการ คุณจึงตั้งค่า Multi-sig Wallet แบบ 2-of-3 หมายความว่ามี Private Key 3 อัน (แต่ละอันอยู่กับผู้บริหาร 1 คน) แต่ต้องมีอย่างน้อย 2 คนเซ็นอนุมัติธุรกรรมจึงจะสามารถโอนเงินออกไปได้


ความแตกต่างที่สำคัญ: SSS vs. Multi-sig เปรียบเทียบให้เห็นภาพ

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองนึกถึงสถานการณ์สมมติเหล่านี้ครับ

สถานการณ์ที่ 1: การเปิดเซฟนิรภัย (SSS)

สมมติว่าคุณมี เซฟนิรภัยขนาดใหญ่ ที่เก็บสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณไว้ (เปรียบเสมือน Private Key ของคุณ)

  • ถ้าใช้ SSS: คุณสร้างกุญแจสำคัญ (Private Key) ขึ้นมา 1 ดอก แต่แทนที่จะเก็บทั้งดอกไว้กับตัวเอง คุณใช้ SSS "แตก" กุญแจดอกนั้นออกเป็น 5 ชิ้นส่วน (เหมือนการหักกุญแจเป็น 5 ท่อน) คุณกำหนดว่าต้องใช้ 3 ชิ้นส่วนใด ๆ ก็ได้เพื่อประกอบกุญแจให้สมบูรณ์และเปิดเซฟ
    • คุณอาจจะให้ชิ้นส่วนที่ 1 กับพ่อแม่
    • ชิ้นส่วนที่ 2 กับทนายความ
    • ชิ้นส่วนที่ 3 กับเพื่อนสนิท
    • ชิ้นส่วนที่ 4 เก็บในธนาคาร
    • และชิ้นส่วนที่ 5 เก็บไว้ที่บ้าน
  • วัตถุประสงค์: การทำเช่นนี้เพื่อ ป้องกันไม่ให้กุญแจหายไปทั้งหมด หรือ ถูกขโมยไปทั้งหมดในคราวเดียว หากมีใครได้ไปแค่ 1 หรือ 2 ชิ้น ก็ไม่สามารถเปิดเซฟได้ คุณจะสามารถกู้คืนกุญแจเพื่อเปิดเซฟได้เมื่อคุณต้องการใช้มันจริง ๆ (เช่น โอนคริปโต) โดยการรวบรวมชิ้นส่วนให้ครบตามจำนวนที่กำหนด

สถานการณ์ที่ 2: การอนุมัติการถอนเงินจากบัญชีบริษัท (Multi-sig)

สมมติว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัท และมี บัญชีธนาคารของบริษัท ที่มีผู้บริหาร 3 คนที่มีอำนาจในการถอนเงิน

  • ถ้าใช้ Multi-sig: คุณกำหนดว่าในการถอนเงินจากบัญชีบริษัทนั้น ต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย 2 ใน 3 คนเซ็นอนุมัติ เช็คหรือเอกสารการถอนเงิน
    • ผู้บริหารคนที่ 1 มีลายเซ็นของตัวเอง (เปรียบเสมือน Private Key 1)
    • ผู้บริหารคนที่ 2 มีลายเซ็นของตัวเอง (เปรียบเสมือน Private Key 2)
    • ผู้บริหารคนที่ 3 มีลายเซ็นของตัวเอง (เปรียบเสมือน Private Key 3)
  • วัตถุประสงค์: การทำเช่นนี้เพื่อ ป้องกันไม่ให้ผู้บริหารคนใดคนหนึ่งสามารถนำเงินออกไปได้โดยลำพัง หรือหากผู้บริหารคนหนึ่งทุจริต หรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน (เช่น เสียชีวิต) ผู้บริหารที่เหลือก็ยังสามารถดำเนินการถอนเงินได้เมื่อมีลายเซ็นครบตามจำนวน มันคือการควบคุม "อำนาจในการทำธุรกรรม"


ตารางเปรียบเทียบ

คุณสมบัติ

Shamir's Secret Sharing (SSS)

Multi-Signature Wallets (Multi-sig)

ภาพเปรียบเทียบ

การหักกุญแจสำคัญดอกเดียว เป็นชิ้นส่วนหลายชิ้น เพื่อป้องกันการสูญหายหรือถูกขโมย

การกำหนดจำนวนลายเซ็นที่ต้องการ เพื่ออนุมัติการใช้เงินในบัญชีบริษัท

วัตถุประสงค์หลัก

กู้คืน "กุญแจ" (Private Key) เพื่อเข้าถึงสินทรัพย์

อนุมัติ "การใช้เงิน" (ทำธุรกรรม) โดยต้องมีหลายคนร่วมกัน

หลักการทำงาน

รวมชิ้นส่วน เพื่อสร้างกุญแจเดิมขึ้นมาใหม่เมื่อต้องการใช้

แต่ละคนเซ็นอนุมัติ เพื่อให้ธุรกรรมผ่านไปได้ ไม่ได้รวมเป็นกุญแจเดียว

ป้องกันอะไร?

ป้องกัน การสูญเสียหรือถูกขโมยกุญแจ ทั้งหมด

ป้องกัน การควบคุมเงินทั้งหมดโดยบุคคลเดียว หรือ การทำธุรกรรมโดยพลการ



วิธีใช้งานแบบกระชับ

เมื่อเข้าใจความแตกต่างแล้ว มาดูวิธีการใช้งานแบบกระชับของแต่ละแบบกันครับ

วิธีการใช้งาน Shamir's Secret Sharing (SSS)

  1. เลือกเครื่องมือ/ซอฟต์แวร์: ใช้โปรแกรมหรือไลบรารีที่รองรับ SSS (เช่น sss-cli หรือไลบรารีในภาษาโปรแกรมต่าง ๆ)
  2. กำหนดความลับ: ระบุ Private Key หรือข้อมูลสำคัญที่คุณต้องการแบ่ง
  3. กำหนดจำนวนชิ้นส่วน (N) และจำนวนขั้นต่ำ (K): ตัดสินใจว่าจะแบ่งความลับออกเป็นกี่ชิ้นส่วน (N) และต้องใช้กี่ชิ้นส่วนถึงจะกู้คืนได้ (K) โดยที่ K≤N
  4. สร้างชิ้นส่วน: ใช้เครื่องมือ SSS เพื่อสร้างชิ้นส่วน N ชิ้นจากความลับของคุณ
  5. แจกจ่าย/จัดเก็บชิ้นส่วน: กระจายชิ้นส่วนเหล่านี้ไปยังที่จัดเก็บหรือบุคคลที่แตกต่างกันอย่างปลอดภัย ไม่ควรเก็บชิ้นส่วนทั้งหมดไว้ในที่เดียวกัน
  6. เมื่อต้องการกู้คืน: รวบรวมชิ้นส่วนให้ครบ K ชิ้น แล้วใช้เครื่องมือ SSS ในการประกอบชิ้นส่วนเหล่านั้นเพื่อกู้คืนความลับดั้งเดิม

วิธีการใช้งาน Multi-Signature Wallets

  1. เลือกแพลตฟอร์ม/กระเป๋าเงินที่รองรับ Multi-sig: ใช้กระเป๋าเงินคริปโตที่รองรับฟังก์ชัน Multi-sig (เช่น Gnosis Safe, Electrum, Sparrow Wallet สำหรับ Bitcoin หรือบาง DeFi Protocol)
  2. กำหนดจำนวนคีย์ทั้งหมด (N) และจำนวนลายเซ็นที่ต้องการ (M): ตัดสินใจว่าจะมี Private Key กี่อัน (N) ที่สามารถควบคุมกระเป๋าได้ และต้องมีลายเซ็นกี่อัน (M) ถึงจะอนุมัติธุรกรรมได้ โดยที่ M≤N (ตัวอย่างเช่น "2-of-3" คือ M=2,N=3)
  3. สร้างหรือนำเข้า Private Key: แต่ละบุคคลที่จะเป็นผู้ลงนามจะมี Private Key ของตัวเอง
  4. ตั้งค่า Multi-sig Wallet: สร้าง Multi-sig Wallet บนแพลตฟอร์มที่คุณเลือก โดยเพิ่ม Public Key ของ Private Key ทั้งหมด N อันเข้าไป และกำหนดจำนวนลายเซ็นที่ต้องการ M
  5. ทำธุรกรรม: เมื่อต้องการโอนเหรียญหรือทำธุรกรรมใดๆ ผู้ควบคุมจะต้อง
    • สร้างธุรกรรม
    • แต่ละคนที่มี Private Key จะต้อง "ลงนาม" (Sign) ในธุรกรรมนั้น
    • เมื่อมีลายเซ็นครบตามจำนวน M ที่กำหนด ธุรกรรมนั้นก็จะถูกส่งไปยังเครือข่ายและดำเนินการ


สรุป

การเลือกใช้ SSS หรือ Multi-sig ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความต้องการด้านความปลอดภัยของคุณ SSS เหมาะกับการกู้คืน "ความลับ" ที่เป็นคีย์ส่วนตัว ในขณะที่ Multi-sig เหมาะกับการควบคุม "การอนุมัติธุรกรรม" ด้วยการมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัยสูงสุด การเลือกใช้ Hardware Wallet ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะช่วยเก็บ Private Key ของคุณไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กหรือมัลแวร์ได้เป็นอย่างดีครับ

ความสำคัญของ Hardware Wallet ต่อ SSS และ Multi-sig

  • กับ SSS: Hardware Wallet บางรุ่นสามารถทำงานร่วมกับ SSS ได้ โดยใช้ Hardware Wallet เป็นหนึ่งในชิ้นส่วน (Share) ของความลับ หรือช่วยในกระบวนการกู้คืน Private Key เพื่อสร้างความลับขึ้นมาใหม่
  • กับ Multi-sig: Hardware Wallet มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งใน Multi-sig Wallet เนื่องจากแต่ละคนที่เป็นผู้ลงนามสามารถเก็บ Private Key ของตัวเองไว้ใน Hardware Wallet แยกจากกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าคีย์เหล่านั้นจะปลอดภัย และยังสามารถลงนามอนุมัติธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยจากอุปกรณ์ของตนเอง

เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขาย Bitcast ก็เป็นตัวแทนจำหน่าย Hardware Wallet อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทำให้คุณสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองและรับประกันคุณภาพได้โดยตรงครับ

 

ทิ้งข้อความไว้

โปรดทราบว่าความคิดเห็นจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะเผยแพร่

เว็บไซต์นี้ได้รับการคุ้มครองโดย hCaptcha และมีการนำนโยบายความเป็นส่วนตัวของ hCaptcha และข้อกำหนดในการใช้บริการมาใช้