Bitcoin Halving คืออะไร
หลาย ๆ คนยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดว่า Bitcoin ลดปริมาณลงครึ่งนึง แต่ไม่เข้าใจว่าไปลดตรงส่วนไหน เพราะในกฏ Bitcoin ยังมี 21 ล้านเท่าเดิม แต่ที่ลดนั่นคือไปลดส่วนของการผลิดลงครึ่งนึง นั่นคือการลดปริมาณของผลตอบแทนที่มาจากการขุดลงครึ่งนีงนั่นเอง
Bitcoin Halving คือการที่ระบบให้ผลตอบแทนจากการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นี้จะใช้เวลาของเครือข่ายบล็อกเชนอยู่ที่ 210,000 บล็อก ใช้เวลาประมาณสี่ปี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ซาโตชิได้กำหนดไว้เพื่อลดอัตราการเฟ้อของ Bitcoin ในระบบ
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ 5 ของ Bitcoin
ยุคที่ 1 ในยุคแรกของ Bitcoin ผลตอบแทนในการขุดคือ 50 บิตคอยน์ ต่อการปิดบล็อกในยุคนั้นคนรู้จักน้อยขุดได้ง่าย สามารถใช้ CPU ขุดได้อยู่ในช่วงนั้น
ยุคที่ 2 ของ Bitcoin ผมนับช่วงหลังจาก Halving ครั้งที่ 1 ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2012 ซึ่งผลตอบแทนจากการขุด Bitcoin ลดลงเป็น เป็น 25 บิตคอยน์ ต่อการปิด Block 1 ครั้ง
ยุคที่ 3 ของ Bitcoin หลังกจาก Halving ครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2016 ผลตอบแทนจากการขุดลดลงเป็น 12.5 บิตคอยน์ ต่อการปิด Block
ยุคที่ 4 ของ Bitcoin หลัง Halving ครั้งที่ 3 11 พฤษภาคม 2020 เป็นข่วงที่ Bitcoin ลดผลตอบแทนเป็น 6.25 บิตคอยน์ ต่อหนึ่งการปิด Block
ยุคที่ 5 จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 ประมาการไว้ว่าจะเป็นวันที่ 20 และผลตอบแทนจากการปิดบล็อกจะลดลงเป็น 3.125 บิตคอยน์
ณ เดือนมีนาคม 2024 มีบิตคอยน์อยู่ในระบบประมาณ 19.65 ล้านบิตคอยน์ โดยเหลือเพียงประมาณ 1.35 ล้านที่จะถูกปล่อยออกมาผ่านผลตอบแทนจากการขุด
คุณจะเข้าใจ Bitcoin Halving คุณต้องรู้จักการทำงานของ Bitcoin ก่อน
เทคโนโลยีพื้นฐานของ Bitcoin คือบล็อกเชน ประกอบด้วยเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ (เรียกว่า Node) ที่รันซอฟต์แวร์ของ Bitcoin และทำหน้าที่เหมือนเป็น Database ที่มีประวัติการทำธุรกรรม ถ้าเก็บทั้งหมดเราจะเรียก Full Node แต่ถ้าเก็บบางส่วนเราจะเรียก Lite Node
Node มีหน้าที่ทำการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าการทำธุรกรรมถูกต้องตามข้อกำหนด ถ้าถูกต้องตามข้อกำหนดก็ยอมรับ ถ้าไม่ถูกต้องก็ปฏิเสธการทำธุรกรรม ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่าการทำธุรกรรมมีพารามิเตอร์การตรวจสอบที่ถูกต้องและไม่เกินความยาวที่กำหนด แต่กระบวนกานี้ยังไม่ถือว่าธุรกรรมได้รับการยืนยัน กระบวนการนี้ยังต้องไปรออยู่ใน Mempool อยู่ ยังต้องรอการปิดบล็อกที่เกิดจากการขุดนั่นเอง
การขุด Bitcoin คือการปิดบล็อก
การขุด Bitcoin เป็นกระบวนการที่เปิดให้ใครก็ได้สามารถใช้คอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์ที่เรียกว่า ASIC ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการคำนวนเชิงคณิตศาสตร์สูง เข้ามาร่วมสร้างความปลอดภัยให้กับเน็ตเวิร์คของ Bitcoin ในฐานะนักขุดเพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมและแก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อปิดบล็อก เมื่อปิดบล็อกได้นักขุดก็จะได้รับผลตอบแทนจากการขุดรวมไปถึงค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมด้วย
Bitcoin ใช้ระบบที่เรียกว่า proof-of-work (PoW) เพื่อตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรม มันถูกเรียกว่า proof-of-work ด้วยเหตุที่ว่าการแก้สมการที่เข้ารหัสต้องใช้เวลาและพลังงาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นหลักฐานในการพิสูจน์ว่ามีการทำงานจริง นี่เองจึงเป็นที่มาของ consensus protocol ที่ชื่อ proof-of-work (PoW)
Target hash คือตัวคุมข้อมูลในแต่ละบล็อกและเชื่อมบล็อก
คำว่าการขุดเป็นคำอุปมาอุปไมย ที่ทำให้คนเห็นภาพการทำงานคล้าย ๆ กับการขุดทองนั่นเองว่าต้องมีการลงแรงในการขุดจริง ๆ ไม่ได้อยู่ดีมันลอยมาเฉย ๆ การปิดบล็อกจริง ๆ มันคือการหาคำตอบที่เน็ตเวิร์คของ Bitcoin กำหนดโจทย์ค่า target hash มาให้ โดยค่า target hash จะประกอบไปด้วย input ของ block header กับ hash ของบล็อกที่แล้ว รวมกับค่า nonce การที่เอา hash ของบล็อกก่อนหน้ามาคำนวน hash ของบล๊อกปัจจุบันด้วย เพื่อที่จะได้รู้ลำดับและทำให้แต่ละบล๊อกเรียงกันได้โดยที่ไม่สามารถสลับลำดับกันได้ และมีการร้อยเรียงบล็อกเป็นลักษณะของโซ่ จึงเป็นที่มาของคำว่า Blockchain นั่นเอง
Nonce คืออะไรในระบบ Blockchain
Nonce หมายถึง number used only once เป็นตัวเลขสุ่มขึ้นมาเพื่อใช้ครั้งเดียวเนื่องจากค่านี้จะเป็นค่าที่เป็นคำตอบว่าตัวเลขนี้จะทำให้เมื่อเรารวม Input ทั้งหมดซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลใน block header และ hash ของบล็อกก่อนหน้ารวม nonce แล้ว จับยัดเข้าไปใน hash function จะได้ target hash ที่ระบบกำหนด ดังนั้น สิ่งที่นักขุดต้องทำนั่นก็คือการหาค่า nonce เพื่อให้ได้ target hash นั่นเอง ซึ่ง hash function มันไม่สามารถที่จะย้อนกลับสมการได้ หรือ decrypt ได้ ดังนั้นหน้าที่หลักของนักขุดจำเป็นจะต้องสุ่มตัวเลขขึ้นมาและทดสอบดูเท่านั้นว่าได้ค่า target hash หรือไม่ ดังนั้นการขุดมันคือการสุ่มเพื่อหาคำตอบนั่นเอง โดยที่เครื่องขุดที่ประสิทธิภาพดีคือเครื่องขุดที่มีกำลังในการสุ่มมาก ๆ ก็จะมีโอกาสที่จะปิดบล๊อกได้มากขึ้นนั่นเอง
ค่าความยากของการขุด (Difficulty Level)
Bitcoin มีกระบวนการในการปรับความยากในการขุดเพื่อที่จะให้ระดับการเพิ่ม Bitcoin เข้ามาในระบบอยู่ในปริมาณที่สม่ำเสมอ เปรียบเทียบง่าย ๆ คือ ถ้าระบบให้คำตอบมาว่า = 100 แล้วให้เราหาว่า 75 + (X)^2 ค่า X คือค่าอะไร อันนี้เป็นแบบโจทย์ง่าย ๆ นะครับ
100 = 75 + (X)^2
สมมุติว่าค่า X คือค่า nonce ระดับความยากในการหาค่า noce ก็ง่ายมากๆ คำตอบคือ 5
ถ้าเทียบกับค่าทั้งหมด
100 (Target Hash) = 75 (Block Header + Last block hash) + X (Nonce)^2
วิธีการเพิ่มความยากในระบบเค้าจะไปเพิ่มที่ Target Hash จาก 100 เป็น 101 ค่า X นี่ก็หายากแล้ว ถ้าเราไปดูรูปร่างหน้าตาของ target hash จะมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้นะครับ
00000000000000000000a5ddcb38e46d1f2264f3c611a8c0477f281f42c66f67
วิธีการปรับความยากก็เพิ่มศูนย์เข้าไปข้างหน้าเยอะๆ นี่ก็เพิ่มระดับความยากสุดๆ แล้วครับ ว่าจะหาค่า nonce เท่าไหร่เพื่อให้ได้ค่านี้
ผลกระทบจาก Bitcoin halving
Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมา โดยหลักคิดที่สวนทางกับระบบการเงินในปัจจุบัน ซึ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเงินเฟ้อ Bitcoin ใช้กระบวนการลดปริมาณการผลิตลงครึ่งนึงทุก 210,000 บล็อก หรือประมาณสี่ปี ในช่วงที่ 4 ของ Bitcoin ในช่วงนี้ผลิตได้วันละ 900 Bitcoin ต่อวันโดยประมาณ หลัง Halving การผลิต Bitcoin จะลดลงเป็น 450 Bitcoin ต่อวัน
ปัจจุบันการผลิตอยู่ในปริมาณที่ไม่พอกับ Demand อยู่แล้ว เราดูปริมาณการที่ Bitcoin ไหลเข้า ไปใน Spot Bitcoin ETF และปริมาณ Reserve ของ Bitcoin ในแต่ละ Exchange รวมกันลดลงมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี ผมไม่รู้หรอกว่าการที่ความต้องการเรายังไม่รู้จุดสิ้นสุด แต่ปริมาณการผลิตลดลงแน่ ๆ จะมีผลต่อราคาสักเท่าไหร่
แต่ในความเป็นไปได้มันมีผลในการผลักดันราคาได้แน่ ๆ และดันราคาในปริมาณที่สูงมาก ๆ ด้วย เป้าหมายที่จะได้เห็นน่าจะเริ่มเห็นในช่วงสิ้นปีนี้ สำหรับ Bitcoin Halving ปีนี้ไม่เหมือนรอบอื่น ๆ มันมีหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนไป แต่ที่เห็นคือ Bitcoin แข็งเกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ติดตามกันต่อครับว่าราคาจะไปได้ไกลขนาดไหน