สินเชื่อบ้านที่ใช้คริปโตเป็นหลักประกันเริ่มต้นในปี 2012 โดย BTCJam เป็นผู้บุกเบิก ภายในปี 2016 มีการปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 16,000 สัญญาใน 120 ประเทศ โดยมูลค่าเฉลี่ยต่อสัญญาอยู่ที่ $400-600 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการสินเชื่อที่อยู่อาศัย
กลไกการทำงาน
- ผู้กู้โอนคริปโต (เช่น Bitcoin หรือ Ethereum) ให้ผู้ให้กู้เก็บเป็นหลักประกัน
- ผู้ให้กู้ล็อคคริปโตไว้ในระบบ custody
- ผู้กู้ได้รับเงินกู้เป็นสกุลเงินปกติเพื่อซื้อบ้าน
- ตราบที่ผ่อนชำระตรงเวลา คริปโตยังเป็นของผู้กู้
- ถ้าราคาคริปโตลดลงมาก อาจต้องวางหลักประกันเพิ่ม

เกณฑ์การพิจารณา
ในการพิจารณาสินเชื่อ ผู้ให้กู้มักจะรับเฉพาะคริปโตหลักๆ เช่น Bitcoin และ Ethereum โดยกำหนดให้มูลค่าหลักประกันต้องสูงกว่าวงเงินกู้ประมาณ 150% ผู้กู้จะต้องแสดงที่มาของคริปโตตามกฎ AML และผ่านการตรวจสอบฐานะการเงินและเครดิต นอกจากนี้ยังต้องมีการประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่จะซื้อด้วย
ข้อดีของสินเชื่อ
- ไม่ต้องขายคริปโต ยังได้ประโยชน์จากราคาที่อาจเพิ่มขึ้น
- ประหยัดภาษีเพราะไม่เกิด Capital Gains Tax
- อนุมัติเร็วกว่าเพราะดูที่มูลค่าหลักประกันเป็นหลัก
- ใช้ Smart Contract ลดขั้นตอนเอกสาร
- โปร่งใสด้วยเทคโนโลยี Blockchain
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของสินเชื่อประเภทนี้คือความผันผวนของราคาคริปโต ซึ่งอาจนำไปสู่การถูก Margin Call นอกจากนี้ กฎหมายและการกำกับดูแลในหลายประเทศยังไม่ชัดเจน ผู้กู้จึงต้องศึกษาเงื่อนไขสัญญาอย่างละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องอัตราดอกเบี้ย ตารางผ่อนชำระ เงื่อนไข Margin Call และกระบวนการยึดหลักประกัน
ผู้ให้บริการหลักในตลาด
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลักในตลาดหลายราย
Nexo
- รองรับคริปโต 40+ สกุล
- อนุมัติเร็ว
- แผนผ่อนชำระยืดหยุ่น
Ledn
- เน้น Bitcoin เป็นหลัก
- เหมาะกับนักลงทุนคริปโต
- ช่วยกระจายความเสี่ยงสู่อสังหาริมทรัพย์
Salt Lending
- มีสินเชื่อหลายรูปแบบ
- รองรับคริปโตหลายสกุล
- เน้นรักษาการถือครองคริปโตของลูกค้า
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกผู้ให้บริการ
ในการเลือกผู้ให้บริการ ผู้กู้ควรพิจารณาถึงชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ระบบรักษาความปลอดภัย อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขต่างๆ สกุลเงินคริปโตที่รองรับ การปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงคุณภาพการบริการลูกค้า
บทสรุป
สินเชื่อที่ใช้คริปโตเป็นหลักประกันกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยให้นักลงทุนคริปโตสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลของตนโดยไม่ต้องขายออกไป แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่ผู้ที่สนใจควรศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะความผันผวนของตลาดคริปโตอาจส่งผลกระทบต่อสินเชื่อได้
มุมมองและข้อคิดเห็นของผู้เขียน
โอกาสสำหรับตลาดไทย
การนำสินเชื่อที่ใช้คริปโตเป็นหลักประกันมาใช้ในไทยอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะประเทศไทยมีอัตราการถือครองคริปโตที่สูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แต่อาจยังไม่มีเงินดาวน์หรือรายได้ประจำที่สูงพอ การใช้คริปโตเป็นหลักประกันจะช่วยให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
ความท้าทายที่ต้องระวัง
อย่างไรก็ตาม การจะนำมาใช้ในไทยมีความท้าทายหลายประการ:
- กฎระเบียบของ ธปท. และ ก.ล.ต. ยังไม่เอื้อต่อการให้สินเชื่อรูปแบบนี้
- ธนาคารพาณิชย์ไทยยังขาดความเชี่ยวชาญในการประเมินความเสี่ยงของคริปโต
- ตลาดคริปโตไทยยังมีความผันผวนสูง และมีประวัติการล้มของแพลตฟอร์มมาแล้ว
มุมมองของผู้เขียน
หากสินเชื่อรูปแบบนี้เข้ามาในไทย
- ควรเริ่มจากการใช้เฉพาะ Bitcoin หรือ Ethereum เป็นหลักประกัน เพราะมีสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือสูง
- ควรมีระบบ custody ที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล
- อัตราส่วนหลักประกันต่อวงเงินกู้ (LTV) ควรเริ่มที่ประมาณ 50% เพื่อรองรับความผันผวน
- ควรมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงจุด margin call เพื่อให้ผู้กู้มีเวลาจัดการ
อนาคตเกี่ยวกับสินเชื่อรูปแบบนี้
ผู้เขียนเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นสินเชื่อรูปแบบนี้ในไทยอย่างแน่นอน แต่อาจเริ่มจากสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ก่อน และค่อยๆ พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของธนาคารพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนคริปโตไทยได้ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การที่ประเทศไทยมีทั้งตลาดคริปโตที่คึกคักและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง ทำให้โอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อรูปแบบนี้มีความเป็นไปได้สูง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมคริปโต เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับผู้บริโภคชาวไทย
ที่มาข้อมูล:
https://cointelegraph.com/news/how-to-buy-a-home-with-a-crypto-backed-loan
1 ความคิดเห็น
Good Idea