สำหรับเพื่อน ๆ มือใหม่หลาย ๆ คนมักจะมีคำถามเกี่ยวกับการโอนบิทคอยน์จาก Exchange ไปเก็บด้วยตนเอง โดยใช้ Hardware Wallet นั่นก็คือคำถามที่ว่า “โอนบิทคอยน์ต้องเลือก Network ไหน?” หรือ “เลือก Lightning Network หรือ Binance Smart Chain ได้ไหม? ค่าธรรมเนียมถูกกว่าด้วย”
ในบทความนี้จะแบ่งออก Network ออกเป็น 3 Networks หลัก ๆ ได้แก่ Bitcoin Network, Lightning Network, Blockchain อื่น ๆ เช่น Ethereum หรือ BNB Smart Chain เป็นต้น

ก่อนที่จะไปเริ่มเลือกใช้งาน Network ต่าง ๆ แนะนำอ่านบทความนี้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกประเภทของ Bitcoin Address ทั้ง 4 ประเภท ไม่ว่าจะเป็น Legacy (P2PKH), Nested SegWit (รูปแบบ P2SH), Native SegWit (รูปแบบ Bech32) และ Taproot (P2TR) เพื่อเลือกใช้ประเภทของ Bitcoin Address ได้อย่างเหมาะสม
1. การโอนบิทคอยน์โดยใช้ Bitcoin Network (BTC)
หากต้องการเก็บบิทคอยน์จริง ๆ เมื่อโอนบิทคอยน์จะต้องเลือกใช้ Bitcoin Network (BTC) เท่านั้น ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าบิทคอยน์อันไหนก็เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด บิทคอยน์ที่อยู่ Network อื่นไม่ใช่บิทคอยน์ แต่เป็น Wrap Bitcoin (WBTC) เท่านั้น
ขั้นตอนการโอนบิทคอยน์จาก Exchange โดยใช้ Bitcoin Network (BTC)
ตัวอย่างการถอนบิทคอยน์จาก Bitkub Exchange ไปยัง Hardware Wallet
- เข้าสู่ระบบของ Bitkub
- ไปที่แท็บกระเป๋าเงินด้านล่าง
- เลือกถอน (Withdraw) BTC
- ใส่ที่อยู่กระเป๋าปลายทาง (เริ่มต้นด้วย 1, 3 หรือ bc1) ในช่อง Address ผู้รับ
- ระบุจำนวนที่ต้องการถอน
- ตรวจสอบค่าธรรมเนียมและยืนยันการถอน
ไม่ต้องเลือก Network ใด ๆ เนื่อง Bitkub ไม่รองรับการโอนบิทคอยน์โดยใช้ Network อื่น ดังนั้นจึงบังคับใช้ Bitcoin Network เท่านั้น


วิธีการกดดู Wallet Address เมื่อต้องการโอนบิทคอยน์ให้ตนเองผ่านแอป OneKey
- ไปที่ All Network
- เลือก Bitcoin
- กด Receive
- กดคัดลอก Address หรือ สแกน QR code เพื่อรับ Wallet address




ข้อควรระวัง
- ตรวจสอบที่อยู่กระเป๋าให้ถูกต้อง
- สังเกตค่าธรรมเนียมที่ Exchange เรียกเก็บ
- ระวังการใส่ที่อยู่ผิดเครือข่าย
- ควรทดลองโอนจำนวนน้อยก่อน
2. การโอนบิทคอยน์โดยใช้ Lightning Network (LN)
Lightning Network คืออะไร ?
Lightning Network (LN) เป็นเครือข่ายที่อยู่บน Layer 2 ของ Bitcoin Blockchain (Layer 1) ซึ่งจะทำงานอยู่อีก Layer ที่ไม่ใช่การทำงานบน Layer 1 (Off-chain) นั่นเอง โดย Lightning Network ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าใน Blockchain ของ Bitcoin เนื่องจากการประมวลผลธุรกรรมมหาศาล (Scalability Problem) ที่ช่วยให้การโอน BTC เร็วขึ้นและประหยัดค่าธรรมเนียม เริ่มได้รับความนิยมและมี Exchange รองรับมากขึ้น
ซึ่งการที่ Lightning network ทำธุรกรรมนอกเครือข่าย เรียกว่า Payment Channel โดยเมื่อมีการสร้างช่องทางการชำระเงิน(Channel) แล้วคู่สัญญาทั้งสองคนสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญกันได้ โดยการสร้าง Channel และลงนามในธุรกรรมที่ปรับยอดคงเหลือของช่องทาง Lightning ซึ่งกำหนดให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องลงนามรับรองธุรกรรมทั้งหมดภายในช่องทาง
ยกตัวอย่างเช่น
หาก A และ B เปิดช่องทาง Lightning Network ด้วยยอดเริ่มต้นฝ่ายละ 1 บิตคอยน์

โดย A สามารถส่ง 0.5 บิตคอยน์ให้ฝ่าย B ได้

โดยการสร้างธุรกรรมใหม่ที่ปรับปรุงยอดคงเหลือใน Channel เป็น A เหลือบิทคอยน์ 0.5 บิทคอยน์ และ B มีบิทคอยน์ 1.5 บิทคอยน์

โดยทั้งสองฝ่ายต้องลงนามรับรอง ซึ่งธุรกรรมนี้จะไม่ถูกประกาศบนบล็อกเชน และจะถูกบันทึกไว้เฉพาะในสถานะนอกบล็อกเชนของ Channel เท่านั้น
Channel การชำระเงิน Lightning Network จะยังคงเปิดอยู่จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตัดสินใจปิด เมื่อช่องทางถูกปิด สถานะสุดท้ายของ Channel จะถูกบันทึกลงบนบล็อกเชนของบิตคอยน์(Layer 1) ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถรับบิทคอยน์ตามยอดคงเหลือของตนได้
การใช้ Lightning Network (LN) ในปัจจุบันสามารถทำได้อย่างง่าย คือการใช้ Lightning Network แบบ Custodial คล้าย ๆ กับการฝากเหรียญของเราให้อยู่อื่นดูแล ในที่นี้ก็คือการใช้งาน Lightning Wallet จากผู้ให้บริการ Node ตัวจริง โดยที่เราไม่ต้องเปิดโหนดให้ยุ่งยาก เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งาน Lightning Network ได้แล้ว
การใช้ Lightning Network (LN) ในปัจจุบันสามารถทำได้อย่างง่าย คือการใช้ Lightning Network แบบ Custodial คล้าย ๆ กับการฝากเหรียญของเราให้อยู่อื่นดูแล ในที่นี้ก็คือการใช้งาน Lightning Wallet จากผู้ให้บริการ Node ตัวจริง โดยที่เราไม่ต้องเปิดโหนดให้ยุ่งยาก เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งาน Lightning Network ได้แล้ว
Exchange ที่รองรับ Lightning Network (ตัวอย่าง) เช่น
- OKX
- Kraken
- Binance (บางประเทศ)
ขั้นตอนการโอนบิทคอยน์จาก Exchange โดยใช้ Lightning Network (LN)
- เลือกถอน BTC จาก Exchange
- เลือกเครือข่าย "Lightning" หรือ "BTC Lightning"
- ใส่ Lightning Invoice หรือ LNURL
- ระบุจำนวนตามที่ต้องการ (ในกรอบวงเงินที่ Exchange กำหนด)
- ยืนยันการถอน





วิธีการกดดู Lightning Invoice หรือ LNURL เมื่อต้องการโอนบิทคอยน์ผ่านแอป OneKey
- ไปที่แอป OneKey และเลือก All Network
- เลือก Lightning
- กด Receive
- สามารถกรอกจำนวนที่ต้องการ หรือไม่จำเป็นต้องกรอกก็ได้ และกด Create invoice
- กดคัดลอก Address หรือ สแกน QR code เพื่อรับ Lightning Invoice หรือ LNURL





ข้อควรระวัง
- ตรวจสอบว่า Exchange รองรับ Lightning Network
- หากเลือกสร้าง Invoice จะมีเวลาหมดอายุ
- มีข้อจำกัดเรื่องวงเงินสูงสุด
- บาง Exchange ต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติม
3. การโอนบิทคอยน์ผ่าน Blockchain อื่น
จากที่เคยได้เกริ่นไปในหัวข้อ “การโอนบิทคอยน์โดยใช้ Bitcoin Network (BTC)” หากเราต้องการเก็บบิทคอยน์จะต้องโอนโยใช้ Bitcoin Network เท่านั้น บิทคอยน์ที่อยู่ Network อื่นไม่ใช่บิทคอยน์ แต่เป็น Wrap Bitcoin (WBTC) เท่านั้น
Wrap Bitcoin(WBTC) Token คืออะไร?
หลักการของ WBTC คือเอา Bicoin จริง ๆ มาค้ำแล้วสร้างเป็น WBTC ออกมาในปริมาณที่เท่ากับที่เอามาค้ำ(จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้เท่ากันแบบเป๊ะ ๆ) เช่นเดียวกันกับการสร้าง stable coin เช่น USDT, USDC ที่เอาเงิน Fiat มาค้ำแล้วสร้างเหรียญออกมาในปริมาณที่เท่ากัน
WBTC Token ใช่ Bitcoin หรือไม่?
คำตอบคือไม่ใช่ Bitcoin ที่แท้จริง เปรียบเทียบให้ภาพง่าย ๆ WBTC Token เป็นเหมือนตั๋วทอง ตอนที่เราไปซื้อทองเราอยากได้ทองหรืออยากได้ตั๋วทอง ในอดีตตั๋วทองมีประโยชน์ตรงที่เราได้กรรมสิทธิ์ช่วยในการเปลี่ยนมือได้ง่าย
ฉะนั้นเราต้องกลับมาดูว่าวัตถุประสงค์ที่เราซื้อ Bitcoin เราซื้อเพื่ออะไร? ถ้าเราจะเอาไปค้ำเพื่อได้สินทรัพย์อื่นหรืออยากเกร็งกำไรสั้น ๆ ก็ซื้อ WBTC Token แต่ถ้าเราอยากเก็บ Bitcoin จริง ๆ ก็ให้ซื้อ Bitcoin ที่อยู่บน Bitcoin Network จริง ๆ
ตั๋ว Bitcoin (WBTC Token) ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
ตั๋ว Bitc0in หรือตั๋วทองก็จะมีหลายที่ เช่น จาก BEP20 ของ Binance, ERC20 ของ Ethereum สามารถใช้ตามจุดประสงค์ที่ต้องการของเราได้ เช่น เอาไป Add LP เป็นต้น
จริง ๆ ปัญหานี้จะเจอกันหลายเหรียญ เช่น เจอ Ethereum บน BNB Smart chain ก็ใช้หลักการเดียวกันคือเอา Ethereum จริง ๆ มาค้ำแล้วสร้าง ETH บน BNB Smart chain ออกมาเช่นเดียวกันครับ
ซึ่ง Exchange หลายแห่งรองรับการโอน BTC ผ่าน Blockchain อื่น เช่น BNB Smart Chain (BSC), Ethereum เป็นต้น
รูปแบบที่พบบ่อย
- BEP20 (BSC): BTCB
- ERC20 (Ethereum): WBTC
- Solana: BTC (Wrapped)
ขั้นตอนการโอน
- เลือกถอน BTC
- เลือกเครือข่ายปลายทาง (เช่น BSC, Ethereum)
- ใส่ที่อยู่กระเป๋าที่รองรับเครือข่ายนั้นๆ
- ระบุจำนวน
- ตรวจสอบและยืนยัน


วิธีการกดดู Wallet Address บน Network อื่น ๆ บนแอป OneKey (ตัวอย่าง Ethereum)
- ไปที่ All Network
- เลือก Ethereum
- หากหา “WBTC” ไม่เจอ ให้กดเพิ่มเหรียญ
- ค้นหาเหรียญ “WBTC” และกดเครื่องหมาย “+”เพื่อเพิ่มเหรียญ และกด add เหรียญ
- กดที่เหรียญ “WBTC”
- กด Receive เพื่อรับเหรียญ








ข้อควรระวัง
- ที่อยู่กระเป๋าต้องรองรับเครือข่ายที่เลือก
- BTC จะถูกแปลงเป็นโทเคนบน Chain นั้นๆ
- ค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันมาก
- บาง Exchange จำกัดวงเงินการโอน
ตารางเปรียบเทียบการโอนบิทคอยน์จาก Exchange โดยใช้เครือข่ายต่าง ๆ
คุณสมบัติ |
Bitcoin Network |
Lightning Network |
Blockchain อื่น |
การรองรับ |
ทุก Exchange |
บาง Exchange |
บาง Exchange |
ความเร็ว |
10 - 20 นาที |
1-5 นาที |
1-5 นาที |
ค่าธรรมเนียม Exchange |
สูง |
ต่ำ |
แล้วแต่ Blockchain ที่เลือก |
วงเงินขั้นต่ำในการโอน |
สูงกว่า |
ต่ำกว่า |
ปานกลาง |
วงเงินสูงสุด |
ขึ้นกับ Exchange |
ขึ้นกับ Exchange |
ขึ้นกับ Exchange |
รูปแบบเหรียญที่ได้ |
BTC |
sat |
Wrapped BTC |
คำแนะนำในการเลือกวิธีโอน
- โอนไปเก็บระยะยาว
- ใช้ Bitcoin Network
- โอนไปกระเป๋า Hardware Wallet
- ยอมรับค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น
- โอนเพื่อใช้จ่าย
- ใช้ Lightning Network
- เหมาะกับการโอนจำนวนน้อย เช่น ค่าอาหาร ค่ากาแฟ ค่าใช้จ่ายเล็กน้อย
- ประหยัดค่าธรรมเนียม
- โอนเพื่อเทรดหรือใช้ DeFi
- ใช้ Blockchain อื่น
- เลือกตาม Platform ที่ต้องการใช้
- คำนึงถึงค่าธรรมเนียมรวม
บทสรุป
หากวางแผนถือ Bitcoin ระยะยาวหรือมีจำนวนมาก ควรเลือกการโอนผ่าน Bitcoin Network เท่านั้น และควรใช้ Hardware Wallet จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือและตัวแทนที่น่าเชื่อถือ ในการเก็บรักษาบิทคอยน์เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสามารถเลือกดู Hardware Wallet ได้ที่นี่ครับ
หากต้องการใช้บิทคอยน์ในการทำธุรกรรมเล็กน้อยหรือชำระค่าบริการต่าง ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่ากาแฟ ที่มีมูลค่าไม่สูงมาก เป็นต้น ควรเลือกใช้ Lightning Network เนื่องจากไม่เสียค่าธรรมเนียมในการใช้งานภายใน Lightning Network และยังโอนได้อย่างรวดเร็ว
หากต้องการใช้บิทคอยน์ในการทำธุกรรม เช่น ใช้ในการทำ DeFi ต่าง ๆ หรือค้ำเพื่อกู้ Assets อื่นออกมา สามารถใช้ Blockchain อื่นๆ ในการโอนได้ แต่ข้อควรทราบคือบิทคอยน์ที่โอนมาโอนใช้ Blockchain อื่นๆ นี้ ไม่ใช่บิทคอยน์ที่แท้จริง
"Not your keys, not your coins" - เมื่อคุณเข้าใจวิธีการโอนและการเก็บรักษา Bitcoin อย่างถูกต้อง คุณจะสามารถควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นของคุณได้อย่างแท้จริง