ย้อนรอยการเก็บบิทคอยน์ยุคแรก ทำไมหลายคนถึงสูญเสียการเข้าถึงบิทคอยน์ไปตลอดกาล?

ย้อนรอยการเก็บบิทคอยน์ยุคแรก ทำไมหลายคนถึงสูญเสียการเข้าถึงบิทคอยน์ไปตลอดกาล?

หลายคนคงเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทำ Private Key สูญหายจนไม่สามารถเข้าถึงบิทคอยน์ได้อีกต่อไป อาจจะมาจากหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็น ความประมาทในการเก็บ Private Keys ที่ใช้เข้าถึงบิทคอยน์ ทิ้ง Private Keys โดยไม่ตั้งใจ ส่งบิทคอยน์ไปที่ Address ที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บ Private Keys พังหรือทิ้งไป 


และหลายคนก็คงสงสัยว่า เขาเก็บบิทคอยน์อย่างไร ทำไมถึงทำกุญแจเข้าถึงบิทคอยน์หาย? ทำไมบางคนที่ฮาร์ดไดรฟ์หายเลยทำให้เข้าถึงบิทคอยน์ไม่ได้อีกเลย เขาไม่ได้จด Seed Phrase ไว้เหรอ? 


กรณีตัวอย่างของ James Howells ขุดบิทคอยน์ได้ประมาณ 7,500 เหรียญโดยใช้คอมพิวเตอร์เกมของเขาในปี 2009 แต่น่าเสียดายที่เขาทิ้งฮาร์ดไดรฟ์ที่เก็บบิทคอยน์ไว้โดยไม่ตั้งใจ


ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกันประวัติและวิวัฒนาการของ Crypto Wallet ตั้งแต่แรกเริ่มจนช่วงแรก ๆ จนมาถึงปัจจุบันที่เรามี Hardware Wallet ที่ใช้ในการเก็บ Seed Phrase แบบออฟไลน์ใช้กัน

 

 

Bitcoin Wallet คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?

Bitcoin  Wallet ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการ Bitcoin ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนตู้นิรภัยสำหรับเก็บ Private Keys หรือกุญแจที่ใช้ในการเข้าถึงบิทคอยน์ได้ ซึ่งกุญแจเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายกับรหัสผ่านที่เราคุ้นเคยกัน

หากไม่มี Bitcoin Wallet นี้ เราก็จะไม่สามารถจัดการ Bitcoin บน Blockchain ได้ Bitcoin Wallet จึงเปรียบเสมือนประตูที่ช่วยทำให้เราสามารถเช้าถึงเพื่อจัดการกับ Bitcoin ของเราได้


วิวัฒนาการของ Bitcoin Wallet

Bitcoin Wallet ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค Bitcoin Core จนถึง Hardware Wallet ที่ใช้กันในปัจจุบัน และใช้งานร่วมกับระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) และ Non Fungible Token (NFTs)


Bitcoin Core ( ปี 2009)

มาเริ่มกันที่ Bitcoin Core (หรือที่รู้จักในชื่อ Bitcoin-Qt) เป็น Crypto Wallet รุ่นแรก เปิดตัวหลังจากการขุด Bitcoin เหรียญแรกในต้นเดือนมกราคม 2009 เพื่อใช้เก็บ จัดการ และทำธุรกรรมกับ Bitcoin ที่ขุดใหม่

Bitcoin Core เกิดขึ้นเนื่องจากจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือในการจัดการกับ Bitcoin เนื่องจากการขุด Bitcoin มีรางวัลที่ได้จากการปิดบล็อก (Block Reward) และถูกส่งไปยังที่อยู่กระเป๋า BTC ของผู้ขุด

ภาพด้านบนแสดง Wallet Address ของ Bitcoin Core แรก ซึ่งได้รับเหรียญจากการขุด Bitcoin Genesis Block (Bitcoin Block แรกที่ขุด) และน่าจะเป็นของ Satoshi Nakamoto เอง

 

Genesis Block มีลักษณะพิเศษตรงที่ไม่ได้อ้างอิงถึงบล็อกก่อนหน้า และเป็นบล็อกเริ่มต้น (subsidy) ที่ไม่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ และไม่มีใครรู้ว่าเป็นข้อบกพร่องหรือเป็นความตั้งใจหรือไม่
ในเวอร์ชันแรกของ Bitcoin Core ทำให้บิทคอยน์จำนวน 50 BTC ถูกส่งไปยังกระเป๋า 1A1zP1eP5QGefi2DMPTfTL5SLmv7DivfNa ยังคงอยู่โดยไม่มีใครรู้ว่า ซาโตชิมี Private Key หรือไม่

Bitcoin Core มีความพิเศษตรงที่ไม่เหมือนกับกระเป๋าเงินบนมือถือที่พบเห็นในปัจจุบัน มันทำหน้าที่เป็นทั้งกระเป๋าเงินแบบเราต้องดูแลเอง (non-custodial) และซอฟต์แวร์ตรวจสอบความถูกต้อง

 

Bitcoin Core เป็นกระเป๋าเงินที่ช่วยให้ผู้ใช้งานจัดเก็บ Bitcoin ของตนได้อย่างปลอดภัย โดยการสร้างและจัดการ Private Key ซึงเป็นตัวอักษรและตัวเลขที่สร้างขึ้นแบบสุ่มซึ่งทำให้ผู้ถือเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้


Paper wallets และ Brain wallets 

ในยุคแรกมีการใช้วิธีเก็บกุญแจส่วนตัวแบบ "กระเป๋าเงินกระดาษ" (paper wallet) และ "กระเป๋าเงินสมอง" (brain wallet) ซึ่งไม่ใช่กระเป๋าเงินประเภทซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ แต่เป็นเทคนิคในการเก็บรักษากุญแจส่วนตัวให้ปลอดภัย

Paper wallets

กระเป๋าเงินกระดาษเป็นวิธีการเก็บคริปโทเคอร์เรนซีแบบกายภาพ ซึ่งมีการสร้างและพิมพ์หรือคัดลอก Private Key ลงบนกระดาษ ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในสถานที่ปลอดภัย เช่น ตู้นิรภัย

Brain wallets

Brain wallets คือการจำ Private Key ของตน ก่อนที่จะ mnemonic phrases ที่เราใช้กัน ผู้ใช้งานบางคนสร้างและจำ passphrases หรือรหัสผ่านของตนเองเพื่อสร้างและกู้คืน Private Key ของตนเอง โดยใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์เฉพาะ แน่นอนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ใครจะจำ Private Key จำนวนเต็ม 256 บิตของ Private Key ได้


ทั้ง Paper wallets และ Brain wallets ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกการจัดเก็บที่ปลอดภัยแต่หากทำ Paper wallets ที่มี Private Key หายหรือจำ Private Key ไม่ได้ เราจะไม่สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ได้อีกต่อไป และนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจาก Paper Wallet ไปเป็น Digital Wallet



Desktop wallets และบริการเก็บรักษา

แม้ว่า Bitcoin Wallet จะถูกออกแบบมาให้เป็นแบบเราต้องดูแลเองตั้งแต่แรก แต่กระเป๋าเงินแบบมีผู้ดูแลแทนก็เริ่มปรากฏขึ้น โดยนำเสนอความสะดวกในการใช้งานและการกู้คืนบัญชีเพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับการธนาคารแบบดั้งเดิม

Mt. Gox เป็นผู้บุกเบิกการให้บริการกระเป๋าเงินแบบมีผู้ดูแล (custodial wallet) ตั้งแต่ปี 2010 โดยผู้ใช้สามารถฝากและถอน Bitcoin ผ่านอินเทอร์เฟซของแพลตฟอร์ม 

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แฮ็กในปี 2014 ที่ส่งผลให้ Bitcoin จำนวนมากสูญหาย แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของ custodial wallet 


กระเป๋าเงิน Desktop และการพัฒนาแบบ Non-custodial

ขณะที่มีการพัฒนากระเป๋าเงิน Bitcoin แบบ Custodial wallet ก็ได้มีชุมชนคริปโตส่วนหนึ่งก็ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยที่สูงขึ้น จึงทำให้เกิดการพัฒนา Cold wallet ขึ้นมา เช่น

Armory

เปิดตัวในปี 2011 ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเก็บ Private Key แบบออฟไลน์และพร้อมการใช้งาน Multisignature ทำให้มีความปลอดภัยที่สูงในการเก็บ Bitcoin 

Electrum

Bicoin wallet ตัวแรกที่ไม่ต้องให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลด Bitcoin Blockchain ทั้งหมด เพียงแต่อาศัย Server ในการจัดการ Blockchain

BIP-39 (2013)

นอกจากนี้ ในปี 2013 ยังมีมาตรฐานการสร้างวลีช่วยจำ (mnemonic phrase) ที่เรียกว่า Bitcoin Improvement Proposal-39 (BIP-39) ซึ่งช่วยสร้างวลีช่วยจำจากเดิมที่ต้องบันทึก Private Key เอง โดยคำเหล่านี้จะช่วยสร้าง Private Key จนแทบจะเรียกได้ว่าใช้ได้ไม่จำกัด ทำให้เราจำหรือบันทึกเพียงแค่ mnemonic phrase เท่านั้นที่เราใช้กัน

ภาพตัวอย่าง Bitcoin Improvement Proposal-39 (BIP-39)  


Mobile Wallet

แนวคิดเรื่อง Bitcoin Wallet ก็มีการพัฒนาในด้านที่แตกต่างกันไป ในช่วงหลังเริ่มมีการใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น จึงต้องการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานบนมือถือให้ดีขึ้น ทำให้เกิด Mobile Wallet ขึ้นมา สำหรับผู้ใช้งาน Android เช่น Mycelium และสำหรับผู้ใช้งานบน iOS เช่น Breadwallet ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น BRD เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้กระเป๋าเงินแบบลำดับชั้น (hierarchical deterministic - HD) ซึ่งทำให้ยากต่อการติดตามธุรกรรม


Hardware Wallet

 

Hardware Wallet เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงแรกของการพัฒนา Bitcoin ซึ่ง Hardware Wallet ตัวแรกคือ Trezor Model One ที่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ปี 2014 หลาย ๆ คนน่าจะเคยใช้งาน Trezoe Model One กันมาบ้าง ถือเป็น Hardware Wallet ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานมากครับ และยัง Opensoure ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวทำให้หลาย ๆ คนชอบในความโปร่งใสนี้ด้วยครับ 

 

​​การรวม Bitcoin Wallet, Crypto Wallet กับ DeFi และ NFTs

ปี 2015 ได้มีการสร้าง Blockchain แรกขึ้นมา คือ Ethereum Blockchain ถือเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีสำหรับ DeFi ที่มีความสามารถในการทำ Smart contract ของ Ethereum ที่ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) บนบล็อกเชนได้เป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นเหล่าแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมและยืมเงินแบบ Decentralized เช่น Aave, Compound และ MakerDAO ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมา และได้มีตลาด Decentralized Exchange (DEX) เช่น Uniswap, SushiSwap และ Balancer เกิดขึ้นในภายหลังด้วย ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้เกิดความต้องการ Wallet แบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวกขึ้น


Software Wallet

ในปี 2016 ทาง Consensys ได้พัฒนา MetaMask ซึ่งเป็น Hot Wallet แบบ Non-custodial สิ่งที่ให้ MetaMask ใช้งานได้ง่ายกว่า Hardware Wallet คือสามารถใช้งานได้ผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์ (Browser extension) และสามารถเชื่อมกับ Decentralized applications (dApps) ได้อย่างง่าย สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น แลกเปลี่ยน การกู้ยืม การให้กู้ ก็สามารถทำได้โดยตรงผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์นี้ได้โดยตรง


บทเรียนสำคัญจากประวัติศาสตร์ของ Bitcoin Wallet ทำให้เราเห็นว่า การเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หลายคนต้องสูญเสียเหรียญมูลค่ามหาศาลไปเพราะจัดเก็บได้ไม่ดีพอ

ปัจจุบัน Hardware Wallet จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่ช่วยปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างอุ่นใจ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุด แยกการเก็บ Private Key ออกจากอินเทอร์เน็ต พร้อมระบบกู้คืนผ่าน Seed Phrase หากสนใจซื้อ Hardware wallet สามารถซื้อได้ที่เว็บไซต์ของ Bitcast ที่นี่ได้เลยครับ หากยังตัดสินใจไม่ได้สามารถปรึกษาแอดมินผ่านทางไลน์ก่อนได้ครับ

 

บทสรุป

จากคำถามที่เราเคยสงสัยว่า “ทำไมคนถึงทำกุญแจที่ใช้เข้าถึงบิทคอยน์หายไป? เขาทำ Seed phrase หาย?” จะเห็นได้ว่า​วิวัฒนาการของ Wallet นั้นค่อย ๆ พัฒนามาเรื่อย ๆ ในช่วงแรกนั้นเรายังไม่ได้มี BIP-39 ใช้กัน BIP-39 เพิ่งมาเริ่มใช้งานเมื่อ 2013

แต่ Bitcoin นั้นเริ่มขุด Block แรกเมื่อปี 2009 ทำให้ช่วงก่อนหน้านั้นใช้งาน เช่น Paper wallet ที่มี Private Key และ Public Key ในการรับและส่งบิทคอยน์ ซึ่งถ้าสูญหายก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป

หลายคนจึงเลือกบันทึก Private Key ไว้ที่คอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดไดร์ฟเนื่องจากสูญหายได้ยากกว่า และช่วงนั้นบิทคอยนืไม่ได้ราคาสูงมากจะถูกแฮกหรือหายไปบ้างบางคนก็ไม่ได้ตั้งใจเก็บขนาดนั้น หรือเผลอลบข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ไป Private Key ก็หายไปด้วยเช่นกัน

และนั่นจึงตอบคำถามที่ว่า ทำไมบางคนถึงไม่สามารถเข้าถึงบิทคอยน์ได้อีกต่อไป?



ที่มา: Cointelegraph

กลับไปยังบล็อก

แสดงความคิดเห็น

โปรดทราบว่าความคิดเห็นจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะได้รับการเผยแพร่