Bitcoin Spot ETF ที่ทุกคนรอคอยไม่ได้หวานชื่นอย่างที่คิด

Bitcoin Spot ETF ที่ทุกคนรอคอยไม่ได้หวานชื่นอย่างที่คิด

บทนำ

ผมได้ยินคำว่า Bitcoin Spot ETF นี้มาหลายปีแล้ว ตอนแรก ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึง Hype กันนักกับเรื่องนี้ พอได้เข้าใจถึงได้รู้ว่า อ๋อ มันเป็นเครื่องมือที่จะทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย เข้ามาลงทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวแล้วสำหรับคนที่เก็บบิทคอยน์ในระยะยาวอย่างผมไม่ค่อยได้ตื่นเต้นกับ Bitcoin Spot ETF ซักเท่าไหร่นัก สาเหตุก็เพราะว่าเราไม่ได้มองถึงผลในระยะสั้นเรามองว่าผลในระยะยาวยังไงจุดนี้ก็เป็นจุดที่จะต้องผ่านอยู่แล้ว แล้วก็จะขี้เกียจที่จะอธิบายทุกครั้งที่มีคนมาถามเรื่องนี้

Bitcoin Spot ETF คืออะไร

Bitcoin Spot ETF หมายถึงอะไร เราต้องเข้าใจคำว่า ETF ก่อน ETF  ย่อมากจาก  exchange-traded fund เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนราคาบิทคอยน์ได้โดยตรง โดยเทียบราคาที่เคลื่อนไหวตามกระดานเทรด Spot และสามารถใช้บัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซื้อขายได้เลย ทำให้คนที่มีบัญชีอยู่แล้วสามารถเข้ามาซื้อขายได้โดยง่าย ดังนั้นฐานของลูกค้าก็จะซื้อได้ก็เพิ่มขึ้นในทันที  


Bitcoin Spot ETF จะพยายามเทียบราคา spot ของบิทคอยน์บนกระดานเทรดให้ใกล้เคียงที่สุด คล้าย ๆ กับเวลาที่เราซื้อกองทุน SET 50 สิ่งสำคัญของกองทุนนี้ก็จะพยายามเทียบราคาของกองทุนกับ SET 50 ให้ใกล้เคียงกันมากที่สุดยิ่งความผิดพลาดในการเทียบราคาน้อยเท่าไหร่แปลว่ายิ่งดี

 

ตอนสมัยที่ผมรู้จักกองทุนแบบนี้ผมมีความรู้สึกว่า เออถ้าเกิดว่ามันเพี้ยนแล้วเราได้กำไรก็ดีนะ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะด้านบวกหรือด้านลบถ้าหากว่าการเทียบเคียงราคาของมันเแล้วมีความผิดพลาดสูงถือว่าการบริหารจัดการนั้นทำได้ไม่ดี

 

Bitcoin Spot ETF ต่างจาก Bitcoin Futures ETF ตรงที่ Bitcoin Spot ETF ลงทุนโดยตรงใน Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ใช่สัญญาอนุพันธ์ตามราคา(อันนี้เหมือนเราซื้อกระดาษ กรณี Tulip Mania ก็คือซื้อ Future นี่แหละ) พูดง่าย ๆ คือเราซื้อจริง ๆ ไม่ได้ซื้อตั๋ว เหมือนเวลาเราซื้อคอนโด เราซื้อคอนโดจริงๆ ไม่ได้ซื้อใบจอง หรือซื้อสิทธิในการเป็นเจ้าของ

Bitcoin Spot ETF กับการเดินทางตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2013 เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้อง Cameron และ Tyler Winklevoss ทั้งคู่เป็นฝาแฝดซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลรายหนึ่งของอเมริกาชื่อ Gemini เป็นรายแรกยื่นเอกสารกับทาง SEC ในเรื่องการขอ Bitcoin Spot ETF ในช่วงนั้นเอง Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) ก็ถือกำเนิดขึ้น

 

ในช่วงปี 2016 สองพี่น้อง Winklevoss ก็ยังมีความพยายามที่จะปรับเอกสารการร้องขอเปิด Bitcoin Spot ETF หลายครั้งแต่ก็ยังไม่ผ่าน รวมไปถึง Grayscale ก็พยามที่จะขอแปลงกอง Grayscale Bitcoin Trust ของตัวเองเป็น Bitcoin Spot ETF เช่นกัน

 

ปี 2017 ทาง SEC ยกคำร้องขอของสองพี่น้อง Winklevoss ทำให้สองพี่น้องต้องถอดใจในช่วงนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังขึ้นก็ตาม

 

ปี 2018 ในความพยายามของสองพี่น้อง Winklevoss ที่ยื่นเอกสารครั้งที่สองก็ถูกปฏิเสธเหมือนเดิมด้วยสาเหตุเพราะว่าทาง SEC กังวลว่าศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลจะไม่สามารถควบคุมหรือป้องกันการปั่นราคาได้ตามมาตรฐาน

 

ในปี 2020 Grayscale ก็แปลงกองทรัสของตัวเองในรูปแบบของ SEC-Reporting entity แล้วเริ่มที่จะขายแชร์ของกองทรัสบน “Pink Sheets” ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ exchange-trade-fund แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มันสามารถที่จะซื้อขายแบบที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้เพราะปกติถ้าจะซื้อกองทุนของ Grayscale Bitcoin Trust จะต้องมีเงินทุนเยอะพอสมควรทีเดียว และจะต้องเปิดบัญชีเฉพาะโดยตรง

 

ในปี 2021 เป็นครั้งแรกที่ Bitcoin Spot ETF ได้เปิดตัวขึ้นในประเทศแคนาดา และปีนั้นเอง ช่วงเดือนเมษา Gary Gensler ก็ขึ้นมาเป็นประธานของ SEC แทน Jay Clayton 

 

ในเดือนตุลาคมปีนั้นเอง SEC อนุมัติ ProShares Bitcoin Trust ให้ลิสต์บนกระดานของ  Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็น Bitcoin Futurer-Based ETF ตัวแรกแล้วก็มีเงินสะพัดในการเทรดครั้งแรก 1,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งมากที่สุดถ้าเทียบกับ ETF ตัวอื่นๆ

 

ในเดือนเดียวกันนั้นเองทาง Grayscale ก็ยื่นขอ SEC ที่จะแปลงกองทรัสของตัวเองเป็น Bitcoin Spot ETF

 

ในปี 2022 SEC ปฏิเสธคำขอยกแผง ไม่ว่าจะเป็น SkyBridge, Fidelity และ Bitwise รวมไปถึงคำของแปลงกองทรัสของ Grayscale ด้วย และทำให้ Grayscale ฟ้อง SEC ต่อกรณีนี้


ถ้าใครจำได้ในปีนี้เองเกิดเรื่องราวมากมายหลายหลายบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเรื่องของคลิปโตล้มละลายกันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็น Three Arrows Capital, Celsius Network และ FTX ผมเองก็คือหนึ่งในผู้เสียหายที่บริษัทเหล่านี้ล้ม


Bitcoin Spot ETF ได้รับการอนุมัติ ท่ามกลางความหวังของใครหลาย ๆ คน


พฤษภาคม ปี 2023 Cathie Woods เจ้าแม่ของ Ark Investment ก็ได้ยื่นขอ Bitcoin Spot ETF โดยมีกรอบเวลาให้ SEC พิจารณา 240 วัน  หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยคำขอของเจ้าใหญ่ที่ชื่อว่า BlackRock ซึ่งเจ้านี้แหละที่ทำให้ความหวังของคนในโลกของคลิปโตเบ่งบานมากขึ้น เพราะทุกคนรู้ว่า BlackRock เป็นเจ้าใหญ่และมีเส้นสายในวงการการเมืองสูงมาก 


ช่วงสิงหาคมศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตัดสินเป็นคุณให้กับ Grayscale โดยกล่าวว่า SEC ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมจึงปฏิเสธคำร้องของ Grayscale และในเดือนนี้เอง Bitcoin Spot ETF แห่งแรกของยุโรปเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Amsterdam


ช่วงตุลาคม SEC ยอมถอยและเลือกที่จะไม่อุทธรณ์คำตัดสินของศาลในคดี Grayscale ทำให้จำเป็นต้องรับพิจารณาใบสมัครอีกครั้ง


จนกระทั่งวันที่ 10 มกราคม ปี 2024 ใบสมัครของ BlackRock, Fidelity, VanEck และ Grayscale รวมเจ้าอื่นๆ อีก 11 ใบได้รับการอนุมัติจาก SEC เป็นวันที่ชาวคริปโตรอคอยก็มาถึงเสียที


เพียงสี่วันหลังจากอนุมัติมูลค่าสะสมของ Bitcoin Spot ETF ทะลุ 11,000 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า ETF สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ตามหลังแค่ทองเท่านั้น เจ้าใหญสามเจ้าที่ครองตลาด ณ เวลานี้ หนีไม่พ้น Grayscale, BlackRock และ Fiderlity

Bitcoin Spot ETF ไม่ได้ดันราคาตามที่ทุกคนหวัง

หลายๆ คนคาดหวังที่จะถอยลัมโบร์กีนีหลังจาก Bitcoin Spot ETF ได้รับการอนุมัติ แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวังกับราคาที่นิ่งสนิทไม่ไปไหน แล้วในปัจจุบันราคาตกจาก 46,000 เหรียญลงมาสู่ 42,000 เหรียญ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ราคาของบิทคอยน์ไม่วิ่งไปไหนส่วนตัวผมคิดว่ามาจากสองปัจจัย


ปัจจัยแรก: ราคานี้เป็นราคาที่ตลาดคาดหวังไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่เล่นระยะสั้นคงจะเคยได้ยินคำว่า “Buy the rumor, sell the news”  คือปกติคนที่เล่นระยะสั้นจะซื้อในช่วงที่มีข่าวลือพอข่าวออกมาจริงๆ ก็เป็นจังหวะที่เค้าจะขายเพื่อทำกำไร เพราะฉะนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เมื่อ Bitcoin Spot ETF ได้รับการอนุมัติจะมีคนขายเพื่อทำกำไร


ปัจจัยที่สอง: ราคาถูกกดจากการขายแชร์ของ GBTC การเปลี่ยนแปลงจาก Grayscale Bitcoin Trust เป็น Bitcoin Spot ETF ทำให้ Discount ของกองทรัสจากที่เคยมีมากถึง 50% ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2022 กำลังจะหมดไป หลังจากที่ได้ไฟเขียวจาก SEC ให้กลายเป็น Bitcoin Spot ETF เป็นกำแพงกดดันราคา Bitcoin เป็นอย่างมาก


GBTC ของ Grayscale ขายออกมาในสี่วันแรก 27,122 BTC คิดเป็นแค่ 4.4% ของ Bitcoin ทั้งหมดที่มี 619,200 BTC การกดดันจากราคาขายที่  GBTC ขายออกมา ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กดให้ราคาลดต่ำลงไปอีกาจากที่ทุกคนคาดหวัง ปัจจุบันเลือดก็ยังไหลออกไม่หยุดจาก GBTC ด้วยความที่เป็นเจ้าแรกที่ทำเป็นลักษณะกองทรัส และค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูง ทำให้ Outflow ของ GBTC ออกมาอย่างที่เห็น และ Inflow เข้าไปสู่อีก 9 กอง ETFs เรื่อยๆ ต้องรอดูต่อไปว่าจะจบลงเมื่อไหร่ แต่ Bitcoin คงเหลืออยู่ที่  GBTC ก็ยังเยอะอยู่ดีถ้าดูจากปริมาณที่เห็นในปัจจุบัน

https://x.com/EricBalchunas/status/1747385703971860617?s=20

อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือปริมาณการซื้อขายภายในสามวันแรกของ Bitcoin Spot ETF ดันขึ้นไปถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ถ้าลองไปดู ETF ที่เปิดตัวในช่วงปี 2023 ทั้งหมดมีประมาณ 500 ETF เอาทั้งหมดรวมกันปริมาณการซื้อขายยังอยู่ที่แค่ 450 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเองเปรียบเทียบตัวเลขกันแล้วมันห่างกันเสียเหลือเกินเราจะเห็นศักยภาพของ ​Bitcoin Spot ETF จากการเทียบกับ ETF ตัวอื่นๆ รวมกันได้ชัดว่าปริมาณการซื้อขายมากกว่ากันถึง 22 เท่า นี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาว

ความกังวลของ SEC ต่อ Bitcoin Spot ETF

SEC มักจะใช้ข้ออ้างในการปฏิเสธคำขอ Bitcoin Spot ETF เสมอว่ามาตรฐานการควบคุมของผู้ที่ขออนุมัติ Bitcoin Spot ETF อาจจะไม่ได้เพียงพอที่จะป้องกันการปั่นราคาหรือแม้แต่กระทั่งข้อกังวลที่ว่าปริมาณของสภาพคล่องของบิทคอยน์จะมีเพียงพอหรือไม่ ข้อกังวลนี้ผมก็ว่ามีแหละ แต่ส่วนติดคิดว่ามันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น


ตอนที่ผมได้เริ่มเข้ามาศึกษาเรื่องบล็อกเชนและบิทคอยน์ใหม่ ๆ ผมได้มีโอกาสเข้าไปเรียนคอร์สออนไลน์ของ ศาสตราจารย์ Gary Gensler ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานของ SEC 


Gary Gensler  เป็นคนที่เข้าใจเรื่องของบิทคอยน์ได้ดีมากคนหนึ่งในเชิงของเทคนิค ตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ๆ ผมเองก็คาดหวังว่ามุมมองและความคิดเกี่ยวกับเรื่องบิทคอยน์จะเปลี่ยนไปสำหรับภาคกำกับดูแล แต่ผลก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคำพูดของ Gary Gensler ตลอดก็คือมีแค่บิทคอยน์ตัวเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นหลักทรัพย์เหรียญอื่นทั้งหมดเป็นหลักทรัพย์


ส่วนตัวผมเลยคิดว่า Gary Gensler ค่อนข้างห่วงกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากเขาอนุมัติ Bitcoin Spot ETF นั่นก็คือเหรียญอื่นๆ ที่มีเจ้าของก็จะขอ ETF ตามๆ กันมานั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมราคา Ethereum ถึงพุ่งขึ้นในขณะที่ราคาบิทคอยน์ยังเงียบเหงาอยู่

ก.ล.ต.​ คิดยังไงกับ Bitcoin Spot ETF

หลังจากที่กระแส Bitcoin Spot ETF เป็นที่จับตาของสื่อกระแสหลักและคนส่วนใหญ่ก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องของ Bitcoin Spot ETF มากขึ้น บางบริษัทหลักทรัพย์เห็นจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่จะเรียกกระแสก็เริ่มโฆษณาที่ให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยสามารถที่จะเข้าถึง Bitcoin Spot ETF ได้ผ่านแอพพลิเคชั่นที่เขาสามารถที่จะเชื่อมโยงไปถึงกองทุน Bitcoin Spot ETF เหล่านี้ได้


หลังจากนั้นไม่นาน ก.ล.ต.​ก็ออกหนังสือเพื่อป้องปรามไม่ให้บริษัทหลักทรัพย์ใช้ช่องทางนี้เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยมาลงผ่านบริษัทหลักทรัพย์  ส่วนตัวผมคิดว่ากรณีนี้อาจจะไม่ได้มีผลสักเท่าไหร่กับนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่ เพราะนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ได้อยู่แล้วแต่บริษัทหลักทรัพย์ต่างหากที่มีกองทุนและคาดหวังว่าจะเปิดกลยุทธ์ที่ใช้กองทุนเหล่านี้แบ่งสัดส่วนมาเพื่อที่จะไปลง Bitcoin Spot ETF จะไม่สามารถทำได้ 


เพราะตอนนี้ใบอนุญาตที่จะทำเป็นลักษณะของกองเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ แยกประเภทที่เป็นสินทรัพย์ดิจิตอลแล้วก็เป็นสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ดังนั้นผมคิดว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใบอนุญาตมันทำข้ามลักษณะของสินทรัพย์ได้จึงเป็นเรื่องที่ ก.ล.ต.​ตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว

สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาหากอยากลงทุนผ่าน Bitcoin Spot ETF


สิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องพิจารณาหากจะต้องลงทุนผ่าน Bitcoin Spot ETF ก็คือเรื่องของค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ  สำหรับใครหลายหลายคนอาจจะมองว่าค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการอยู่ที่ประมาณ 0.25% หรือ 0.2% หรือ 1% ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่  แต่สำหรับผมแล้วถ้าเป็นลักษณะของการเก็บระยะยาวแล้วเป็นในลักษณะ Passive ของแบบนี้ถ้าเราสามารถบริหารจัดการเองได้เราจะลดต้นทุนในการบริหารจัดการนี้แล้วเอาต้นทุนนั้นมาเป็นกำไรได้สบาย ๆ เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะลงทุน Bitcoin Spot ETF ผมขอให้พี่พิจารณาเรื่องของค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการให้ดี


การเรียนรู้ที่จะเก็บบิทคอยน์เอง เป็นเรื่องที่ควรทำ


การเก็บเองหรือที่เรียกว่า Self Custody เป็นวิธีการหนึ่งในการลดต้นทุนในการบริหารจัดการแต่  มันต้องแลกมาด้วยต้องศึกษาหาความรู้ถึงวิธีการเก็บบิทคอยน์ให้ปลอดภัย


ซึ่งโดยปกติการเก็บบิทคอยน์ให้ปลอดภัยเราจะใช้สิ่งที่เรียกว่า Hardware Wallet โดยเจ้า Hardware Wallet เป็นตัวที่เอาไว้ใช้เก็บ private key 


เจ้าตัว private key นี่แหละเป็นเครื่องมือยืนยันความเป็นเจ้าของบิทคอยน์ของเรา ในกรณีที่เราซื้อผ่าน Bitcoin Spot ETF ทางผู้จัดการกองทุนนั้นจะติดต่อกับบริการรับฝากสินทรัพย์หรือที่เราเรียกว่า custodian ในการเก็บบิทคอยน์แทนเรา ซึ่งเค้าก็ใช้หลักการเดียวกันก็คือเค้าจะเก็บตัวกุญแจหรือ private key ที่ระบุถึงสิทธิ์ในการครอบครองตัวบิทคอยน์นั้นๆ 


ส่วนตัวถ้าใครคิดจะเก็บระยะยาวแล้วมีความพร้อมที่จะศึกษาก็จะทำให้เราได้ลดต้นทุนและเราได้เป็นเจ้าของตัวบิทคอยน์จริงๆผ่าน Hardware Wallet ตัวอย่างใน Hardware Wallet รุ่นที่ผมแนะนำและได้เป็นตัวแทนจำหน่ายก็คือ OneKey ถ้าสนใจลองดูรายละเอียดในร้านค้าได้ครับ แต่ละรุ่นก็จะเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป

สรุป Bitcoin Spot ETF จะส่งผลกับราคาของ Bitcoin อย่างไรขนาดไหน


การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ๆ กับ Bitcoin Spot ETF เราจะพอเห็นได้ชัดว่าราคานอกจากจะไม่วิ่งขึ้นแล้วยังกลับกายราคาตกเสียด้วยซ้ำ จากเหตุผลที่ผมได้อธิบายมาแล้วข้างต้น สรุปแล้วมันมีผลกับบิทคอยน์ไหม ส่วนตัวคิดว่าเวลาที่เรามองเรื่องแบบนี้ ถ้าเรามองในเวลาที่ยาวนานขึ้นแบบนักลงทุนเราจะภาพและมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น


ถ้าเราลองเปรียบเทียบกับทอง เพราะหลายหลายคนก็มองว่าบิทคอยน์ก็คือทองคำดิจิตอล ในช่วงพฤศจิกายน ปี 2004 ได้มีการอนุมัติ Gold ETF หลังจากนั้นราคาทองก็วิ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงมิถุนายน ปี 2012 รวมเวลาทั้งหมดหลังจากมีการอนุมัติ Gold ETF ประมาณแปดปี


ในปี 2004 หลังจากที่ได้มีการอนุมัติ Gold ETF พอถึงสิ้นปี 2004 ราคาทองตกลงติดลบ -1.4% เมื่อเทียบกันกับราคา ณ ตอนที่ออก Gold ETF

ในปีแรก ราคาก็แกว่ง side way ไม่ได้ทางไหนสักทาง ห้าเดือนแรกของปี 2005 ราคาทองก็ตกลงไปอีก จนถึงช่วงไตรมาสที่สามของปี 2005 ราคาเรื่องขึ้นมาอยู่ที่ $435.50 OZ และปิดปีที่ $513.00 OZ ขึ้นมาราว 20% จากวันเปิดตัว Gold ETF


จากตัวอย่างข้างต้นผมไม่ได้หมายความว่า Bitcoin Spot ETF มันจะเหมือนกับ Gold ETF แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือการมี Spot ETF ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ราคาของสิ่งนั้นมันจะขึ้น แต่เราพอเห็นภาพแหละว่าการที่ทำเป็น Bitcoin Spot ETF มันจะทำให้ การเข้าถึงของสถาบันทางการเงินเข้าถึงได้ง่ายขึ้น การลงบัญชีที่คุ้นเคยแบบ Spot ETF แทนที่จะต้องมาลงบัญชีเองจากการซื้อขายบิทคอยน์ตรงเขาสามารถที่จะทำได้โดยง่าย 


ในอดีตราคา ของทองขึ้นอยู่กับนักลงทุนรายย่อย แต่ถ้าดูราคาของบิทคอยน์ตอนนี้นักลงทุนสถาบันน่าจะมีผลกับมันค่อนข้างมาก อันนี้เราอาจจะต้องดูกันยาว ๆ


แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเรียกว่ามันเป็นความสวยงามของระบบนิเวศน์บิทคอยน์ก็คือ เรื่องของการให้ซึ่งกันและกัน 


VanEck’s เป็น Bitcoin Spot ETF เจ้าหนึ่งที่เสนอให้ 5% ของรายได้กับนักพัฒนาบิทคอยน์คอร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันมานานแล้วในชุมชนบิทคอยน์ เพียงแต่ว่ายังไม่ค่อยมีคนที่จะมาชี้ประเด็นนี้สักเท่าไหร่นักหลายหลายคนไม่เห็นเรื่องของการสร้างคุณค่าให้กับระบบแล้วเมื่อถึงเวลาระบบก็จะให้คุณค่ากับสิ่งนั้นเอง 


สิ่งที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าการเข้ามาของสถาบันทางการเงินที่เข้ามาทำ Bitcoin Spot ETF ได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศน์บิทคอยน์เรียบร้อยแล้ว และการเข้ามานี้จึงทำให้การเกื้อหนุนกันขึ้น การแชร์ 5% ให้กับนักพัฒนาบิทคอยน์คอร์เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ระบบนิเวศน์บิทคอยน์นั้นยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


สิ่งที่ผมเล่าไม่ได้หมายจะชวนให้คุณเข้ามาซื้อหรือมายุ่งเกี่ยวกับบิทคอยน์ แค่จะเล่าให้คุณรู้ว่าเรื่องราวของคุณค่าที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศน์ของบิทคอยน์มันก็เบ่งบานของมันอยู่ดีไม่ว่าคุณจะเข้ามาในระบบนิเวศน์นี้หรือไม่ก็ตามก็ตาม




อ้างอิง


https://www.investopedia.com/spot-bitcoin-etfs-8358373

https://www.reuters.com/technology/decade-long-journey-us-spot-bitcoin-etf-2024-01-10/

https://www.theblock.co/post/273147/cumulative-spot-bitcoin-etf-volume-crosses-10-billion-on-fourth-day-of-trading

https://www.coindesk.com/markets/2024/01/11/grayscales-gbtc-discount-closes-to-zero-for-first-time-since-february-2021/
https://cointelegraph.com/news/spot-bitcoin-etfs-one-week-later-btc-sells-off-but-etfs-reap-success

https://ocw.mit.edu/courses/15-s12-blockchain-and-money-fall-2018/

https://www.nasdaq.com/articles/gold-prices-rallied-250-after-first-etf-approval-is-bitcoin-btc-price-next

https://www.financemagnates.com/cryptocurrency/vanecks-btc-etf-pledge-5-of-profits-dedicated-to-bitcoin-developers/

กลับไปยังบล็อก

แสดงความคิดเห็น

โปรดทราบว่าความคิดเห็นจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะได้รับการเผยแพร่